
วัดเขาบันไดอิฐ

Rating: 3.8/5 (9 votes)




สถานที่ท่องเที่ยวเพชรบุรี
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
วัดเขาบันไดอิฐ นั้นแต่เดิมเคยเป็นสำนักสงฆ์เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งมามีฐานะเป็นวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ใน ตำบลไร่ส้ม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี โดยบนเขาบันไดอิฐแห่งนี้มีถ้ำอยู่มากมาย ซึ่งมีหลักฐานว่าในแผ่นดินพระบรมราชาที่ 2 พระเชษฐาธิราช พ.ศ.2171 "พระศรีศิลป์" นั้นเป็นเชื้อสายพระเจ้าทรงธรรม ต่อมาได้ถูกจับกุมและถูกเนรเทศจากอยุธยามาคุมขังอยู่ที่ถ้ำเขาบันไดอิฐแห่งนี้ เพราะคิดคดซ่องสุมผู้คน และคิดแย่งชิงราชสมบัติ แต่แผนการได้รั่วไหลออกมาเสียก่อน
เมื่อ "พระศรีศิลป์" มาถูกจองจำที่นี่ก็ได้มี "หลวงมงคล" ซึ่งเป็นพระญาติทางฝ่ายมารดาของพระศรีศิลป์ คุมบ่าวไพร่ มาทำการขุดเจาะถ้ำ ทางด้านอื่นให้ทะลุติดต่อกันหลายถ้ำจนถึงถ้ำใหญ่ที่คุมขังพระศรีศิลป์ ซึ่งมีแผ่นกระดานตีปิดปากถ้ำ และมีทหารเฝ้ายามคอยส่งอาหารและน้ำ ใส่ตะกร้าหย่อนลงไปให้ ปรากฏว่าอาหารและน้ำไม่มีใครแตะต้องคงอยู่ตามเดิม ตะโกนเรียกก็ไม่มีเสียงขานรับ ก็คิดว่าพระศรีศิลป์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว จึงรายงานให้ทางกรุงศรีอยุธยาทราบและมีคำสั่งให้ถมดินปิดปากถ้ำเสีย
"พระศรีศิลป์" นั้นเมื่อลอบออกจากถ้ำมาได้ก็หลบซ่อนตัวซ่องสุมผู้คน และทหารทำการขบถต่อแผ่นดินตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เพชรบุรี แต่ต่อมานั้นได้ถูกจับตัวส่งกลับไปกรุงศรีอยุธยาและถูกสำเร็จโทษ โดยวัดเขาบันไดอิฐยังมีประวัติและเรื่องราวอีกว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายระหว่าง พ.ศ. 2240 - พ.ศ. 2249 รัชกาลของพระพุทธเจ้าเสือ โดยมีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า "พระอาจารย์แสง" เคยบวชอยู่ที่วัดมเหยงค์ กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระภิกษุที่มีเวทย์มนต์ขลัง ที่เชี่ยวชาญทั้งในพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ การวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งได้ธุดงค์มาพักที่วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี "พระอาจารย์แสง" โดยจำพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งนี้จนมรณภาพ แต่เพราะเห็นว่าเป็นสถานที่ซึ่งสงบ วิเวก เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม (ซึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ก็เคยมาเยือนที่วัดเขาบันไดอิฐ และได้ร้อยกรองถึงสถานที่นี้ไว้ใน "นิราศเมืองเพชร")
ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า "พระอาจารย์แสง" เป็นพระอาจารย์ของ "พระเจ้าเสือ" สอนทางเวทย์มนต์คาถา และเหตุที่พระอาจารย์ธุดงค์มาอยู่ที่วัดเขาบันไดอิฐก็เพราะน้อยใจที่กล่าวตักเตือนพระเจ้าเสือไม่ให้ประพฤติในทางโหดร้ายต่อสตรีไม่ได้ พระอาจารย์แสงเห็นว่าพฤติกรรมเช่นนี้ กษัตริย์ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้ความขลังของวิชาที่เรียนมาเสื่อมลงด้วย
"พระเจ้าเสือ" พระองค์นี้มีนิสัยดุดัน ชอบหมกมุ่นในกามราคะ ชอบฆ่าสัตว์ แต่ทรงพระปรีชาสามารถในทางไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ไพร่ฟ้าประชาชนเกรงกลัวมาก จึงขนานนามพระองค์ว่า "พระเจ้าเสือ" (ขุนหลวงสรศักดิ์) มีบันทึกอยู่ในพงศาวดารความว่า "พอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ และเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถี อายุ 11-12 ปี ถ้าสตรีใดโยกโคลงไปทรงพระโกรธ ลงพระอาญาถองยอดอกตายคาที่ ถ้าสตรีได้ไม่ดิ้นเสือกโคลงนิ่งอยู่ชอบอัชฌาลัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล
ประการหนึ่ง ถ้าเสด็จไปประพาสมัชฉาชาติฉนากฉลามทางชลมารค ทรงทะเลเกาะสีชัง เขาสามมุข และประเทศใดย่อมเสวยน้ำจัณฑ์ไปพลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางไนและมหาดเล็กชาวที่ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไปมิได้มีวิจารณปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดท้างไปในทะเล ให้ปลาฉลากฉลามกินเป็นอาหาร ประการหนึ่งปราศจากเบญจางคิกศีลมักพอพระทัย ทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาปรากฏเรียกว่า "พระเจ้าเสือ"
ครั้งที่พระเจ้าเสือเสด็จมาเยือนเมืองเพชร พระองค์โปรทราบเบ็ดโดยเรือพระที่นั่งพายในท้องที่ ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม กรรมการเมืองเพชรสมัยนั้นได้จัดสร้างพลับพลารับเสด็จไว้ที่บ้านคุ้งตำหนัก และตามตำนานยังมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า พระเจ้าเสือได้ประกาศเป็นกฎหมายไม่ให้ราษฎรจับปลาที่พระองค์ทรงโปรด ปลาที่พระองค์ทรงโปรดมากคือปลาตะเพียน และปลาหมอ
นอกจากพระเจ้าเสือจะเสด็จมาเมืองเพชร เพื่อตกปลาและคล้องช้างแล้วพระองค์ยังมีพระประสงค์เพื่อขอร้องให้พระอาจาร์แสงกลับไปกรุงศรีอยุธยาด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ อาจารย์แสงไม่ยอมกลับพระองค์จงจนพระทัยยอมพระอาจารย์ แต่ก็โปรดฯให้บูรณะซ่อมแซมวัดเขาบันไดอิฐขึ้นใหม่ให้สวยงามหลายอย่าง
วัดจึงเจริญรุ่งเรืองและในสมัยโบราณก็ถือเป็นประเพณีและวัฒนธรรมที่วัดจะต้องมีเกจิอาจารย์หรือพระสงฆ์ที่เชี่ยวชาญทางด้านอาคม รวมถึงเก่งทางวิปัสสนาหรือทางใน ซึ่งจะต้องมีการถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ใกล้ชิดเหมือนที่วัดเขาบันไดอิฐ เพราะปรากฏยืนยันเป็นหลักฐานได้ว่าวัดเขาบันไดอิฐยังมีพระอาจารย์ชื่อว่า "เหลือ" เป็นพระมีเวทย์มนต์ขลังมาก ผู้คนนับถือเยอะ เล่ากันว่าในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อทหารเมืองเพชรจะออกรบจะต้องมาขอผ้ายันต์และตะกรุดโทน หรือไม่ก็สักยันต์ลงกระหม่อม รดน้ำมนต์เพื่อเพิ่มความขลังให้รอดปลอดภัยกลับมา
อุโบสถวัดเขาบันไดอิฐ นั้นเป็นอาคารทรงไทยก่ออิฐถือปูนขนาดห้าห้อง โดยฐานอ่อนโค้งมีเสาอิงประดับผนังด้านนอก มีปั้นบัวหัวเสาเป็นบัวแวง ประดับกระจกสี ส่วนผนังทางด้านทิศตะวันออก (ด้านหน้า) จะเจาะเป็นช่องประตูสองช่อง เป็นซุ้มประตูประดับลวดลายปูนปั้น หน้าบันของซุ้มประตูปั้นลายกนกหัวนาค มีกนกก้านขดหางโตผสมลายพุ่ม ส่วนด้านหลังเจาะเป็นช่องหน้าต่างขนาดเล็กหนึ่งช่อง ผนังด้านข้างทางทิศใต้ นั้นเป็นหน้าต่างสี่เหลี่ยมไม่มีซุ้มสองช่อง ส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นหน้าต่างหนึ่งช่อง และมีประตูที่ห้องที่สองถัดเข้ามาจากด้านหลังซุ้มประดับลวดลายปูนปั้น
หน้าบันพระอุโบสถประดับด้วยลวดลายปูนปั้น ด้านทิศตะวันออกเป็นภาพลายกนกก้านขดหางโต ผสมลายพุ่ม กนกล้อมรอบครุฑ หน้าอุดปีกนก ด้านซ้ายเป็นลวดลายกนกก้านขดหางโตมีครุฑเหนี่ยว ส่วนหน้าบันด้านทิศตะวันตกเป็นลวดลายรูปครุฑ ประดับด้วยลายกนกช่อหางโต หน้าอุดปีกนกทั้งสองข้างลวดลายก้านขดหัวนาค หลังคาลดสองชั้นเครื่องไม้ กระเบื้องโบกปูนทับกระเบื้องอีกชั้นหนึ่ง เครื่องลำยองประกอบด้วย ตัวลำยอง นาคสะดุ้ง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ไม้ประดับกระจก มีคันทวยรองรับหลังคาปีกนกโครงสร้างหลังคาเป็นเครื่องไม้ประดู่ มีจันทัน ภายในเขียนลายบนไม้ทุกชิ้น ลายสีขาวบนพื้นแดง เพดานเขียนลายดาว บริเวณมุมเป็นลายค้างคาว กรอบเป็นลายไม้เถา
หน้าบันพระอุโบสถ วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงทางด้านความงามของศิลปะปูนปั้นชั้นครูที่ฝากผลงานไว้เหนือหน้าบันพระอุโบสถ เป็นลายปูนปั้นที่งดงามงามสกุลช่างเมืองเพชร เป็นรูปลายกนกเปลวพลิ้วล้อมรูปครุฑ
ถ้า วัดเขาบันไดอิฐมีถ้ำหลายแห่งที่น่านำชมโดยถ้ำแรก คือ “ถ้ำประทุน” มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตามผนังถ้ำทั้งสองด้าน ลึกเข้าไปจะเป็นถ้ำ “พระเจ้าเสือ” ที่ชื่อเช่นนี้เพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่า พระเจ้าเสือได้เสด็จมาหาอาจารย์แสง และได้ถวายพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทรประดิษฐานไว้ในถ้ำแห่งนี้
ถัดจากถ้ำนี้เข้าไปทางด้านใต้จะมีถ้ำพระพุทธไสยาสน์ จะมีพระนอนองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ และตรงซอกผนังถ้ำมีประทุนเรือทำด้วยไม้เก่าแก่มาก เป็นประทุนเรือที่พระเจ้าเสือถวายอาจารย์แสง นอกจากถ้ำทั้งสามนี้แล้ว ยังมีถ้ำอื่น ๆ เช่น ถ้ำพระอาทิตย์ ถ้ำพระจันทร์ ถ้ำสว่างอารมณ์ ถ้ำช้างเผือก และถ้ำดุ๊คซึ่งมีชื่อตามดุ๊คโยฮันฮัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการเมืองปอร์นสวิค (Braunschweig) ประเทศเยอรมันผู้เคยมาเยือนเพชรบุรีและมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้
ที่ตั้งและการเดินทาง ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวง 3171 ห่างจากเขาวังประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นเขาขนาดย่อมมียอดสูง 121 เมตร




แสดงความเห็น
คำค้น (ขั้นสูง) |
Facebook Fanpage