โบราณสถานจวนเรสิดังกัมปอร์ต

Rating: 3.8/5 (4 votes)
สถานที่ท่องเที่ยวตราด
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
วันเปิดทำการ: วันจันทร์–วันศุกร์
เวลาเปิดทำการ: 09.00–16.30 น. (ตามวันและเวลาราชการ)
โบราณสถานจวนเรสิดังกัมปอร์ต เป็นหนึ่งในอาคารเก่าที่เงียบขรึมแต่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองตราด ตั้งอยู่บนถนนหลักเมือง ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด ท่ามกลางย่านชุมชนดั้งเดิมของตัวเมือง อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยาลดชั้นหลังนี้ เคยผ่านบทบาทสำคัญมาหลายยุคสมัย ทั้งในฐานะเรือนหอของตระกูลขุนนางท้องถิ่น เรือนพักของข้าหลวงฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม และจวนผู้ว่าราชการเมืองตราด ก่อนจะกลายมาเป็นสำนักงานคุมประพฤติในปัจจุบัน โดยยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้เป็น “หลักฐานมีชีวิต” ของประวัติศาสตร์เมืองตราด
แม้วันนี้ผู้มาเยือนจะเห็นเพียงอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ที่สงบเรียบ ไม่ได้ฉูดฉาดเหมือนอาคารร่วมสมัย แต่ถ้าฟังเรื่องราวให้ลึกลงไป จะพบว่าจวนเรสิดังกัมปอร์ตเปรียบเสมือนหนังสือประวัติศาสตร์เล่มใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางเมือง เล่าเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ การล่าอาณานิคม การปรับตัวของสยาม การเติบโตของชุมชนเมืองตราด และการอยู่ร่วมกันของวัฒนธรรมไทย–จีน–ตะวันตกในพื้นที่เดียวอย่างแนบแน่น
ต้นกำเนิดของอาคารหลังนี้ย้อนไปถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเมืองตราดเริ่มเฟื่องฟูจากการค้าและการคมนาคมทางทะเล เชื้อสายจีนที่มีบทบาทในระบบราชการท้องถิ่นอย่างพระปราณีจีนประชา ปลัดฝ่ายจีนเมืองตราด ได้สร้างเรือนไม้หลังงามขึ้นเพื่อเป็นเรือนหอให้แก่บุตรสาวนามว่า “สุด” กับหลวงวรบาทภักดี นายอำเภอเมืองตราดในเวลานั้น ตัวบ้านจึงไม่ได้เป็นเพียงอาคารอยู่อาศัย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคมและความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างชนชั้นนำไทย–จีนในเมืองชายทะเลเล็ก ๆ แห่งนี้
ต่อมาเมื่อพระยานรเชษฐวุฒิไวย (จางวางเอี่ยม) เจ้าเมืองตราดเกษียณอายุราชการ ก็ได้ย้ายเข้ามาพำนักในเรือนหลังเดียวกัน ทำให้บ้านหลังนี้กลายเป็น “บ้านเจ้าเมือง” โดยพฤตินัย บทบาทของอาคารจึงยิ่งทวีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางชีวิตชนชั้นนำและการปกครองของเมืองตราดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองปลายศตวรรษที่ 19
ไม่นานหลังจากนั้น กระแสลมของลัทธิล่าอาณานิคมจากยุโรปก็พัดมาถึงชายฝั่งตะวันออกของสยาม ฝรั่งเศสซึ่งสร้างสหภาพอินโดจีนขึ้นจากเวียดนาม ลาว และกัมพูชา มองเห็นความสำคัญของตราดและชายฝั่งอ่าวไทยทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ เมืองตราดจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และในที่สุดก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศสในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
เมื่อฝรั่งเศสเข้ามายึดครองตราดและเมืองชายฝั่งใกล้เคียง จึงจำเป็นต้องมี “เรสิดัง” หรือ Resident ข้าหลวงชาวฝรั่งเศสผู้เป็นตัวแทนรัฐบาลอาณานิคม ทำหน้าที่ปกครอง ควบคุม และรายงานสถานการณ์กลับไปยังศูนย์กลาง จวนเรสิดังกัมปอร์ตถูกเลือกให้เป็นที่พำนักของเรสิดังและใช้เป็นเสมือนที่ว่าการปกครองในพื้นที่ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้บ้านเรือนหอของตระกูลท้องถิ่น ถูกตีความใหม่เป็นศูนย์อำนาจของมหาอำนาจต่างชาติในดินแดนสยาม
ในช่วงราวปี พ.ศ. 2453–2464 จวนเรสิดังกัมปอร์ตจึงทำหน้าที่คล้าย “จวนผู้ว่าราชการ” ภายใต้โครงสร้างการปกครองแบบฝรั่งเศส ข้าหลวงฝรั่งเศสประจำตราดที่พำนักอยู่ที่นี่มีอำนาจดูแลทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร และการจัดเก็บภาษี รวมถึงการดูแลเส้นทางคมนาคมระหว่างตราด–กัมปอต–เกาะกง ทำให้อาคารหลังนี้กลายเป็นจุดตัดสำคัญของเส้นทางการค้าและการติดต่อระหว่างสยามกับดินแดนอาณานิคม
อย่างไรก็ดี แม้อาคารจะถูกใช้ในฐานะศูนย์กลางอำนาจอาณานิคม แต่ตัวสถาปัตยกรรมกลับสะท้อนการประนีประนอมระหว่างวิธีคิดแบบยุโรปกับภูมิปัญญาท้องถิ่นเอเชียอย่างชัดเจน ลักษณะ “ครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 ชั้น” ของจวนเรสิดังกัมปอร์ตจึงเป็นเหมือนภาษาสถาปัตยกรรมที่เล่าให้ฟังว่า ผู้ออกแบบเข้าใจทั้งเรื่องโครงสร้าง ความมั่นคง และภูมิอากาศไปพร้อมกัน
ชั้นล่างของตัวอาคารก่ออิฐถือปูนเต็มชั้น เป็นฐานที่ให้ความมั่นคงและช่วยตัดความชื้นจากพื้นดิน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเมืองใกล้ชายฝั่งอย่างตราด บริเวณด้านหน้ามีกำแพงเตี้ยก่ออิฐถือปูนล้อมรอบเป็นแนวระเบียง พร้อมลูกกรงและพนักที่ช่วยกำหนดขอบเขตของ “พื้นที่อำนาจ” ได้อย่างชัดเจน การย่างเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปจึงไม่ใช่แค่การเดินเข้าบ้านธรรมดา แต่คือการก้าวเข้าสู่พื้นที่ราชการและอำนาจของรัฐ
ชั้นที่สองและชั้นที่สามของอาคารเลือกใช้โครงสร้างไม้เป็นหลัก ผนังเป็นไม้กระดานตีทับแนวนอน เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบสวยงาม หน้าต่างบานใหญ่รูปแบบบานเปิดคู่เรียงรายรอบตัวอาคาร เปิดรับลมทะเลและระบายอากาศได้ดี เหมาะกับภูมิอากาศร้อนชื้นของภาคตะวันออกมากกว่าการใช้กำแพงทึบแบบยุโรปเต็มรูปแบบ สถาปัตยกรรมจึงยังคงความเป็น “เรือนไทยภาคตะวันออก” ผสมอยู่ในความเป็นบ้านอาณานิคมอย่างแนบเนียน
หลังคาทรงปั้นหยาลดชั้นมุงกระเบื้องไม้หรือกระเบื้องดินเผา เป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่ตอบโจทย์สภาพอากาศและภูมิประเทศของเมืองตราด หลังคาปั้นหยาทำให้ระบายน้ำฝนได้ดี ลดแรงปะทะของลม โดยเฉพาะในช่วงมรสุมจากอ่าวไทยที่มักพัดแรงในบางฤดูกาล ส่วนการลดชั้นของหลังคาช่วยให้ตัวอาคารดูโปร่ง ไม่เทอะทะ แม้จะสูงถึงสามชั้นก็ตาม
บันไดภายนอกที่ทอดขึ้นสู่ชั้นสองก่อนเข้าระเบียง เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สะท้อนทั้งประโยชน์ใช้สอยและการจัดลำดับสถานะของผู้ใช้สอยอาคาร ชั้นล่างอาจเป็นพื้นที่ของข้าราชการ ลูกจ้าง หรือผู้มาติดต่อราชการ ส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่พักอาศัยและใช้สอยของเจ้าหน้าที่ระดับสูง การแยกระดับเช่นนี้พบได้บ่อยในเรือนขุนนางไทยและบ้านคหบดีในภูมิภาค ต่างกันเพียงว่าที่นี่ผสมรูปแบบบ้านอาณานิคมเข้าไปด้วย
เมื่อสถานการณ์การเมืองระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเริ่มเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสยามใช้การทูตและการต่อรองดินแดนเพื่อรักษาเอกราชและดึงเมืองสำคัญบางส่วนกลับคืนมา ตราดเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่กลับมาอยู่ภายใต้อำนาจของสยาม โดยอาคารจวนเรสิดังกัมปอร์ตก็ถูกเปลี่ยนบทบาทอีกครั้ง จาก “บ้านข้าหลวงฝรั่งเศส” กลับมาเป็น “จวนผู้ว่าราชการเมืองตราด” ในยุครัฐชาติสมัยใหม่
ความน่าสนใจคือ แทนที่อาคารซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจต่างชาติจะถูกทุบทำลายทิ้ง รัฐสยามกลับเลือกใช้มันเป็นจวนผู้ว่าราชการต่อเนื่อง นั่นสะท้อนถึงท่าทีที่ไม่ได้ปฏิเสธอดีต แต่ดัดแปลงให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรัฐไทย อาคารจึงเปลี่ยนสถานะทางการเมือง แต่ไม่เปลี่ยนตัวตนทางกายภาพมากนัก ร่องรอยของฝรั่งเศสจึงยังฝังอยู่ในทุกมุมของตัวตึก
ต่อมาเมื่อการบริหารราชการแผ่นดินขยายตัว มีการสร้างจวนผู้ว่าราชการและอาคารราชการหลังใหม่ตามยุคสมัย จวนเรสิดังกัมปอร์ตจึงถูกโอนภารกิจมาเป็นอาคารราชการของกระทรวงยุติธรรม และปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดตราด หน่วยงานในสังกัดกรมราชทัณฑ์ แม้จะมีการปรับพื้นที่ภายในบางส่วนให้เหมาะกับการทำงานสมัยใหม่ แต่โครงหลักของอาคารและองค์ประกอบสถาปัตยกรรมสำคัญยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้
สิ่งที่ทำให้จวนเรสิดังกัมปอร์ตมีคุณค่าเพิ่มขึ้นอีกขั้น คือการได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2531 ครอบคลุมพื้นที่ราว 1 งาน 78 ตารางวา การขึ้นทะเบียนนี้ไม่เพียงยืนยันคุณค่าด้านสถาปัตยกรรม แต่ยังยืนยันว่าที่นี่คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่มีความสำคัญระดับชาติ เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการล่าอาณานิคมและการปรับตัวของสยามในบริบทภูมิภาคอุษาคเนย์
หากลองเดินเข้าไปใกล้ตัวอาคาร แล้วมองจากลานด้านหน้า จะเห็นสัดส่วนของตัวตึกที่สัมพันธ์กันอย่างลงตัว ชั้นล่างที่เป็นอิฐถือปูนให้ความรู้สึกมั่นคง หนักแน่น ส่วนชั้นบนที่เป็นไม้ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและเป็นมิตรกับอากาศร้อน บานหน้าต่างขนาดใหญ่ที่สูงเกือบถึงพื้นบอกให้รู้ว่า ผู้สร้างให้ความสำคัญกับการเปิดรับลมมากกว่าการพึ่งพาเครื่องกลอย่างในยุคปัจจุบัน ช่องลมเหนือประตูและหน้าต่างช่วยให้เกิดการไหลเวียนของอากาศตลอดทั้งวัน ทำให้ภายในบ้านเย็นสบายแม้ในช่วงหน้าร้อนของภาคตะวันออก
ผู้มาเยือนที่มีโอกาสเข้าไปชมภายในอาคารในช่วงที่เปิดให้เข้าชมบางโอกาส จะได้เห็นห้องโถงและห้องพักที่จัดวางอย่างเรียบง่ายแต่เป็นระเบียบ ห้องบางห้องมีการจัดแสดงเอกสาร ภาพถ่ายเก่า หรือข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับยุคที่ชาวฝรั่งเศสเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ รวมถึงนิทรรศการขนาดเล็กที่เล่าประวัติการเข้ามายึดครองเมืองตราดของฝรั่งเศสและการเจรจาเพื่อให้ตราดกลับคืนสู่สยาม
ในแง่วัฒนธรรม จวนเรสิดังกัมปอร์ตทำหน้าที่คล้าย “ความทรงจำร่วม” ของชาวตราด หลายคนเติบโตมากับภาพของอาคารหลังนี้ที่ตั้งอยู่เงียบ ๆ บนถนนหลักเมือง ใช้เป็นจุดอ้างอิงเวลานัดพบหรือบอกทาง บางคนเคยเข้ามาติดต่อราชการ บางคนเคยฟังเรื่องราวเกี่ยวกับฝรั่งเศสจากปากผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน อาคารจึงไม่ใช่เพียงโบราณสถานที่ถูกจัดกรอบไว้ในหนังสือ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองตราดจริง ๆ
คุณค่าของที่นี่จึงไม่ได้จำกัดแค่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็น “เครื่องเตือนใจ” ว่าเมืองชายแดนเล็ก ๆ อย่างตราดเคยอยู่กลางแรงกดดันของการเมืองโลก สมัยที่ประเทศมหาอำนาจแบ่งแยกดินแดนกันอย่างเข้มข้น ชาวตราดจำนวนไม่น้อยภูมิใจที่เมืองของตนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ และยังมีหลักฐานที่ยืนยันให้คนรุ่นหลังได้เห็นด้วยตา
หากมองในมุมสถาปัตยกรรม จวนเรสิดังกัมปอร์ตยังสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างรูปแบบตะวันตกกับท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมชาติ รูปทรงของอาคารและแนวคิดเรื่องระเบียง บันได และการจัดผังห้องอาจได้รับอิทธิพลจากบ้านแบบโคโลเนียล แต่การใช้วัสดุไม้ การระบายอากาศ การยกพื้น และการจัดช่องลมกลับมีความเป็นบ้านไทยและบ้านพื้นถิ่นภาคตะวันออกมาก ความ “ก้ำกึ่ง” ระหว่างสองโลกเช่นนี้เองที่ทำให้อาคารดูมีเสน่ห์และเล่าเรื่องราวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างลึกซึ้ง
อีกด้านหนึ่ง จวนเรสิดังกัมปอร์ตยังเป็นตัวอย่างของการใช้โบราณสถานอย่างมีชีวิต (living heritage) เพราะไม่ได้ถูกแปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์เพียงอย่างเดียว หากยังเป็นอาคารราชการที่คนยังใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน การประชุมเจ้าหน้าที่ การทำงานเอกสาร การติดต่อประชาชน ล้วนเกิดขึ้นในอาคารเก่าที่มีอายุเกินร้อยปี ทำให้โบราณสถานไม่ถูกตรึงไว้กับภาพจำแบบ “ของเก่าเก็บ” แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมร่วมสมัย
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินเล่นตามเส้นทางประวัติศาสตร์ในตัวเมืองตราด จวนเรสิดังกัมปอร์ตมักถูกแนะนำให้แวะชมคู่กับพิพิธภัณฑสถานเมืองตราด ศาลหลักเมืองตราด และกลุ่มย่านชุมชนเก่าใกล้เคียง เส้นทางท่องเที่ยวแบบนี้ช่วยให้เข้าใจภาพรวมของเมืองตราดทั้งในเชิงการปกครอง เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของผู้คนได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องขับรถไกลออกไปจากตัวเมืองมากนัก
การเดินทาง มายังจวนเรสิดังกัมปอร์ตทำได้สะดวกทั้งจากกรุงเทพฯ และในตัวเมืองตราดเอง หากออกเดินทางจากกรุงเทพฯ สามารถใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) วิ่งผ่านจังหวัดสมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี จนเข้าสู่จังหวัดตราด ระยะทางรวมประมาณ 380–390 กิโลเมตร เมื่อเข้าตัวเมืองตราดแล้ว ให้มุ่งหน้าเข้าสู่ย่านตลาดและศาลากลาง จากบริเวณตลาดสดเทศบาลเมืองตราด ให้ขับตรงมาทางสี่แยกหลักเมือง จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหลักเมือง แล้วขับต่ออีกราว 400–500 เมตร จะเห็นอาคารจวนเรสิดังกัมปอร์ตตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ลักษณะเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 ชั้นหลังคาทรงปั้นหยาที่โดดเด่นไม่เหมือนอาคารโดยรอบ
ผู้ที่ใช้รถโดยสารประจำทางสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดตราด แล้วต่อรถสองแถวหรือรถรับจ้างเข้าตัวเมือง โดยแจ้งจุดหมายว่าลงใกล้ศาลหลักเมืองตราดหรือพิพิธภัณฑสถานเมืองตราด จากนั้นเดินต่ออีกเล็กน้อยไปยังถนนหลักเมือง ก็จะพบตัวอาคารอยู่ไม่ไกลนัก เส้นทางเดินภายในเมืองตราดมีระยะทางไม่ยาว เหมาะกับการเดินชมวิถีชีวิตผู้คนไปพร้อมกับชมอาคารเก่าและร้านค้าในชุมชนดั้งเดิม
เมื่อมาถึงตัวอาคาร สิ่งสำคัญคือการเคารพในความเป็นอาคารราชการและโบราณสถาน ควรแต่งกายสุภาพ ไม่ส่งเสียงดังรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ และปฏิบัติตามกฎระเบียบการเข้าชมของสถานที่ หากต้องการเข้าชมภายใน ควรติดต่อสอบถามล่วงหน้ากับหน่วยงานที่ดูแลอาคาร เพราะแม้จะเปิดทำการในวันราชการ แต่การเข้าชมภายในบางส่วนอาจต้องพิจารณาตามความเหมาะสมและตารางงานของเจ้าหน้าที่
การมาเยือนจวนเรสิดังกัมปอร์ตจึงไม่ใช่แค่การมาถ่ายรูปอาคารเก่าสวย ๆ หากเป็นโอกาสได้สำรวจร่องรอยของความเปลี่ยนแปลงเชิงการเมืองและวัฒนธรรมที่เคยเกิดขึ้นจริงบนผืนแผ่นดินตราด บ้านเรือนหอของตระกูลขุนนางท้องถิ่นที่กลายเป็นบ้านข้าหลวงฝรั่งเศส ก่อนจะปรับบทบาทเป็นจวนผู้ว่าราชการเมืองตราด และปัจจุบันเป็นสำนักงานคุมประพฤติ ได้สะท้อนให้เห็นว่า “อำนาจ” อาจเปลี่ยนมือไปตามกาลเวลา แต่อาคารหลังเดิมยังยืนอยู่ในที่เดิม ทำหน้าที่เล่าเรื่องราวให้คนรุ่นหลังได้ฟังอย่างไม่รู้เหนื่อย
ในอนาคต หากมีการพัฒนารูปแบบการตีความและการจัดแสดงเพิ่มขึ้น เช่น การจัดนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติการยึดครองตราดของฝรั่งเศส การรวบรวมภาพถ่ายและแผนที่โบราณ หรือการจัดเส้นทางเดินชมเมืองที่เชื่อมโยงจวนเรสิดังกัมปอร์ตเข้ากับพิพิธภัณฑสถานเมืองตราดและสถานที่สำคัญอื่น ๆ ก็จะช่วยยกระดับให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ทั้งสำหรับคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่สนใจมองเมืองตราดมากกว่าแค่ทางผ่านไปยังหมู่เกาะต่าง ๆ ในอ่าวไทย
| ชื่อสถานที่ | โบราณสถานจวนเรสิดังกัมปอร์ต (Residence Kampot, จวนเรสิดังส์) |
| ที่ตั้ง | ถนนหลักเมือง ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด 23000 ใกล้โรงเรียนอนุบาลตราด และย่านตัวเมืองเก่า |
| ลักษณะสำคัญ | อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยาลดชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นไม้ มีระเบียงรอบด้านและบันไดภายนอกแบบบ้านอาณานิคม ผสมผสานรูปแบบตะวันตกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคตะวันออก ใช้ทั้งเป็นเรือนหอ บ้านเจ้าเมือง บ้านข้าหลวงฝรั่งเศส และอาคารราชการ |
| สมัย/ยุค | สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (ปลายพุทธศตวรรษที่ 24) ใช้งานในยุคการยึดครองของฝรั่งเศสช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และต่อเนื่องเข้าสู่ยุครัฐชาติสมัยใหม่ของสยาม |
| หลักฐานสำคัญ | การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนที่ 188 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2531), ข้อมูลจากสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี, แผนที่และเอกสารจากหน่วยงานท้องถิ่น, ภาพถ่ายเก่าช่วงยุคฝรั่งเศส และคำบอกเล่าของชุมชนในพื้นที่ |
| ที่มาของชื่อ | คำว่า “เรสิดัง” มาจากคำฝรั่งเศสว่า Resident ซึ่งหมายถึงข้าหลวงอาณานิคมผู้ปกครองเมือง ชื่อ “จวนเรสิดังกัมปอร์ต” สะท้อนทั้งบทบาทของตัวอาคารในฐานะจวนหรือที่พำนักของเรสิดัง และความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับเมืองกัมปอต (Kampot) ในดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสเดิม |
| การเดินทาง | จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) ผ่านชลบุรี ระยอง จันทบุรี เข้าจังหวัดตราด ระยะทางประมาณ 380–390 กม. เข้าตัวเมืองตราดมุ่งหน้าสู่สี่แยกหลักเมือง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหลักเมือง ขับต่อราว 400–500 เมตร จวนเรสิดังกัมปอร์ตอยู่ทางซ้ายมือ ใกล้โรงเรียนอนุบาลตราด สามารถเดินทางด้วยรถส่วนตัว รถโดยสารประจำทาง แล้วต่อรถสองแถวหรือรถรับจ้างในเมือง ลงใกล้ศาลหลักเมือง/พิพิธภัณฑสถานเมืองตราดแล้วเดินต่อได้ |
| สถานะปัจจุบัน | เป็นสำนักงานคุมประพฤติ จังหวัดตราด ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) และเป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว เปิดให้เข้าชมเฉพาะในวันและเวลาราชการ โดยควรเคารพการทำงานของเจ้าหน้าที่และปฏิบัติตามระเบียบการเข้าชมของหน่วยงาน |
| ค่าเข้าชม | ไม่มีค่าเข้าชม (อาคารราชการ เปิดชมได้ในวันและเวลาราชการตามความเหมาะสมของหน่วยงาน) |
| สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง พร้อมระยะทางโดยประมาณ | พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด (ประมาณ 200 ม.), ศาลหลักเมืองตราด (ประมาณ 300 ม.), ย่านตลาดสดเทศบาลเมืองตราดและชุมชนเมืองเก่า (ภายใน 500 ม.), ชุมชนบ้านห้วยแร้ง (ประมาณ 3.5–4 กม.), พุทธมณฑลตราดและแหล่งพักผ่อนรอบนอกตัวเมือง (ราว 7–9 กม.) |
| ร้านอาหารยอดนิยมใกล้เคียง | ร้านอาหารและคาเฟ่ในเขตตัวเมืองตราดรอบถนนหลักเมือง–ถนนสันติสุข–ถนนเทศบาล เช่น ร้านอาหารตามสั่งท้องถิ่น ร้านก๋วยเตี๋ยว และคาเฟ่เล็ก ๆ ในรัศมีประมาณ 500 ม.–2 กม. ที่สามารถแวะรับประทานก่อนหรือหลังการเยี่ยมชมจวนเรสิดังกัมปอร์ต (ควรตรวจสอบข้อมูลร้านและเวลาเปิดปิดล่าสุดก่อนเดินทาง) |
| ที่พักยอดนิยมใกล้เคียง | เกสต์เฮาส์และโฮเทลขนาดเล็กในตัวเมืองตราด รวมถึงที่พักบริเวณถนนสุขุมวิทและรอบสถานีขนส่ง อยู่ในระยะทางประมาณ 1–3 กม. จากจวนเรสิดังกัมปอร์ต สะดวกต่อการใช้เป็นฐานออกเที่ยวตัวเมืองและเดินทางต่อไปยังท่าเรือเกาะช้าง–เกาะกูด |
| สิ่งอำนวยความสะดวก | ที่จอดรถริมถนนและในบริเวณใกล้เคียงอาคาร (*ตามความเหมาะสมของวันและเวลาราชการ*), ห้องน้ำในอาคารสำหรับผู้มาติดต่อราชการ (การใช้งานขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงาน), อยู่ใกล้ร้านค้าและบริการพื้นฐานในตัวเมืองตราด |
| เบอร์ติดต่อ | ตรวจสอบล่าสุดเมื่อ 2025-12-08: 0 3959 7259 |
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ถาม: โบราณสถานจวนเรสิดังกัมปอร์ตคืออะไร?
ตอบ: โบราณสถานจวนเรสิดังกัมปอร์ตคืออาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยาลดชั้น ตั้งอยู่บนถนนหลักเมือง ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด เดิมเป็นเรือนหอของตระกูลขุนนางท้องถิ่น ต่อมาใช้เป็นที่พำนักของข้าหลวงฝรั่งเศสในยุคที่ตราดถูกยึดครอง และภายหลังใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการเมืองตราด ปัจจุบันเป็นสำนักงานคุมประพฤติและโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว
ถาม: จวนเรสิดังกัมปอร์ตเปิดให้เข้าชมวันไหนและเวลาใด?
ตอบ: โดยทั่วไปจวนเรสิดังกัมปอร์ตเปิดให้เข้าชมในวันและเวลาราชการ คือวันจันทร์–วันศุกร์ เวลาประมาณ 09.00–16.30 น. ทั้งนี้ เนื่องจากอาคารเป็นสถานที่ราชการ จึงควรเผื่อเวลาและปฏิบัติตามระเบียบของหน่วยงาน หากต้องการเข้าชมภายในบางส่วน ควรโทรศัพท์สอบถามล่วงหน้าเพื่อความชัดเจน
ถาม: การเข้าชมโบราณสถานจวนเรสิดังกัมปอร์ตมีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
ตอบ: ปัจจุบันไม่มีการเก็บค่าเข้าชม เนื่องจากเป็นอาคารราชการที่เปิดให้ประชาชนและผู้สนใจเข้ามาติดต่อและเยี่ยมชมในช่วงวันและเวลาราชการ แต่ผู้เข้าชมควรแต่งกายสุภาพและเคารพกติกาของสถานที่
ถาม: ภายในจวนเรสิดังกัมปอร์ตมีอะไรน่าสนใจบ้าง?
ตอบ: ไฮไลต์ของการเยี่ยมชมคือการได้เห็นสถาปัตยกรรมครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 ชั้นที่ผสมผสานระหว่างแบบบ้านอาณานิคมและภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคตะวันออก บางช่วงเวลามีการจัดแสดงเอกสาร ภาพถ่ายเก่า และเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้ามายึดครองตราดของฝรั่งเศส รวมถึงนิทรรศการเล็ก ๆ ที่เล่าพัฒนาการของเมืองตราดในมุมมองประวัติศาสตร์การปกครอง
ถาม: จวนเรสิดังกัมปอร์ตสะท้อนประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมอย่างไร?
ตอบ: จวนเรสิดังกัมปอร์ตเคยใช้เป็นที่พำนักของข้าหลวงฝรั่งเศสที่ได้รับมอบหมายให้ปกครองตราดในช่วงที่เมืองอยู่ภายใต้อิทธิพลของอินโดจีนฝรั่งเศส อาคารจึงทำหน้าที่เป็นทั้งบ้านพักและศูนย์กลางอำนาจอาณานิคมในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก เมื่อเมืองตราดกลับคืนสู่สยามและอาคารถูกใช้ต่อในฐานะจวนผู้ว่าราชการเมืองตราด จึงกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากมหาอำนาจต่างชาติมาสู่รัฐสยามสมัยใหม่
ถาม: จะเดินทางไปจวนเรสิดังกัมปอร์ตจากตัวเมืองตราดได้อย่างไร?
ตอบ: จากใจกลางตัวเมืองตราด เช่น บริเวณตลาดสดเทศบาลหรือพิพิธภัณฑสถานเมืองตราด สามารถเดินต่อหรือนั่งรถสองแถวในเมืองมายังถนนหลักเมืองได้โดยใช้เวลาไม่นาน เพียงมุ่งหน้ามาทางสี่แยกหลักเมือง จากนั้นเลี้ยวเข้าถนนหลักเมืองและเดินหรือนั่งรถต่ออีกเล็กน้อยก็จะเห็นจวนเรสิดังกัมปอร์ตตั้งอยู่ทางซ้ายมือไม่ไกลจากโรงเรียนอนุบาลตราด
ถาม: ควรใช้เวลาเท่าไรในการเที่ยวชมจวนเรสิดังกัมปอร์ตและพื้นที่โดยรอบ?
ตอบ: หากเน้นชมตัวอาคารและบรรยากาศรอบ ๆ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงก็เพียงพอ แต่หากวางแผนเดินเส้นทางประวัติศาสตร์ในตัวเมืองตราดควบคู่กันไป เช่น แวะชมพิพิธภัณฑสถานเมืองตราด ศาลหลักเมืองตราด และชุมชนเมืองเก่า อาจใช้เวลาครึ่งวันถึงหนึ่งวันเต็มเพื่อซึมซับบรรยากาศและเรียนรู้เรื่องราวของเมืองตราดอย่างเต็มที่
ถาม: จวนเรสิดังกัมปอร์ตเหมาะกับนักท่องเที่ยวแบบไหน?
ตอบ: จวนเรสิดังกัมปอร์ตเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมเชิงลึกของเมืองชายแดน รวมถึงนักเดินทางที่อยากทำความรู้จักตราดมากกว่าแค่เป็นจุดต่อเรือไปเกาะต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเหมาะกับนักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมในภูมิภาคอุษาคเนย์ในมุมเมืองเล็ก ๆ อย่างตราดด้วย
แสดงความเห็น
| คำค้น (ขั้นสูง) |
Facebook Fanpage










หมวดหมู่:
กลุ่ม:
แลนด์มาร์ก และอนุสรณ์สถาน(
ศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี(
พิพิธภัณฑ์(
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวิชาการ
พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา(
ไร่ สวนเพื่อการศึกษา(
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
วัด(
มัสยิด(
สถานที่เกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ(
วิถีชีวิต
หมู่บ้าน ชุมชน(
ตลาดท้องถิ่น(
ธรรมชาติ และสัตว์ป่า
อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตอนุรักษ์ทางทะเล(
ดอย และภูเขา(
เขื่อน พื้นที่อนุรักษ์ ทะเลสาบ(
น้ำตก(
แม่น้ำลำคลอง(
อ่าว และชายหาด(
หมู่เกาะ(
แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ(
บันเทิง และท่องเที่ยวเชิงเกษตร
กิจกรรมกลางแจ้ง และกิจกรรมผจญภัย(
ช้อปปิ้ง
ช้อปปิ้ง และตลาดกลางคืน(