
ประเพณีบุญเบิกฟ้า

Rating: 4.5/5 (4 votes)




สถานที่ท่องเที่ยวศรีสะเกษ
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
ช่วงเวลา วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุก ๆ ปี (ซึ่งอยู่ระหว่างปลายเดือนมกราคม - ต้นเดือนกุมภาพันธ์)
ความสำคัญ ประเพณีบุญเบิกฟ้า เป็นประเพณีไทยของชาวมหาสารคามที่ประกอบขึ้นตามความเชื่อว่า เมื่อถึงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกๆ ปี ฟ้าจะเริ่มไขประตูฝน โดยจะมีเสียงฟ้าร้อง และทิศที่ฟ้าร้องเป็นสัญญาณบ่งบอกตัวกำหนดปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาหล่อเลี้ยงการเกษตรในปีนั้น ๆ
ตำนานโบราณกล่าวถึงทิศที่ฟ้าร้องว่า
1. ทิศบูรพา มีครุฑเป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูน้ำ ถ้าฟ้าร้องทิศนี้ฝนจะดี ข้าวกล้าในนาจะอุดมสมบูรณ์ คนทั้งปวงจะได้ทำบุญให้ทานอย่างเต็มที่
2. ทิศอาคเนย์ จะมีแมวเป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูลม โดยถ้าฟ้าร้องทางทิศนี้ฝนจะน้อย นาแล้ง คนจะอดอยาก และเกิดโรคระบาด
3. ทิศทักษิณ มีราชสีห์เป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูทอง ซึ่งถ้าฟ้าร้องทางทิศนี้ฝนจะมาก เมื่อน้ำจะท่วมข้าวกล้าในนาเสียหายถึงสองในห้าส่วน นาลุ่มเสีย นาดอนดี มีปูปลาอุดมสมบูรณ์
4. ทิศหรดี นั้นจะมีเสือเป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูตะกั่วหรือประตูชิน ซึ่งถ้าฟ้าร้องทางทิศนี้ฝนจะดี โดยน้ำงามพอเหมาะ ผลหมากรากไม้อุดม ปูปลามีมาก ข้าวกล้าบริบูรณ์ ผู้คนมีความสุข
5. ทิศปัจจิม มีนาคเป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูเหล็ก ซึ่งถ้าฟ้าร้องทางทิศนี้ฝนจะแล้ง น้ำน้อย และข้าวกล้าในนาแห้งตาย เสียหายหนัก
6. ทิศพายัพ มีหนูเป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูหินถ้าฟ้าร้องทางทิศนี้ฝนจะตกปานกลาง ข้าวกล้าได้ผลกึ่งหนึ่ง และเสียหายกึ่งหนึ่ง ปูปลามีน้อย คนจักป่วยไข้
7. ทิศอุดร มีช้างเป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูเงิน โดยถ้าฟ้าร้องทางทิศนี้ ฝนจะดี ข้าวกล้าในนางอกงามดี คนมีสุขทั่วหน้า
8. ทิศอีสาน มีงัวเป็นสัตว์ประจำทิศ เป็นทิศประตูดิน ถ้าฟ้าร้องทางทิศนี้ ฝนนั้นจะตกดีตลอดปี โดยข้าวกล้าในนาจะงอกงามสมบูรณ์ดี คนจะมีความสุขเกษมตลอดปีอย่างถ้วนหน้า ด้วยความเชื่อตามตำนานดังกล่าว ซึ่งชาวมหาสารคามจึงมีประเพณีบุญเบิกฟ้า (เดิมเรียกว่าบุญเบิกบ้าน) โดยเพื่อขอพรจากแถน (เทพผู้เป็นใหญ่) ให้ไขประตูฟ้าทางทิศที่เป็นมงคล อนึ่งในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 โดยจะมีปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้น 3 อย่างคือ
1. กบไม่มีปาก คือจะมีแผ่นเยื่อเกิดขึ้นปิดรูกบเป็นอันว่าวันนั้นกบจำศีล ไม่ฆ่าสัตว์อื่น ๆ เป็นอาหาร
2. นากไม่มีรูทวาร คือมีแผ่นเยื่อเกิดขึ้นปิดทวารหนักของตัวนาก เป็นอันว่านากจะไม่ขับถ่ายในวันนั้น เพราะไม่ได้กินอาหาร
3. มะขามป้อมจะมีรสหวาน
พิธีกรรม พิธีกรรมบุญเบิกฟ้า มี 4 อย่างคือ
1. จัดพิธีสู่ขวัญข้าว ชาวอีสานเรียกว่าทำบุญตุ้มปากเล้า
2. หาบปุ๋ยคอก (ชาวอีสานเรียกว่าฝุ่น)ไปใส่ผืนนา
3. ทำบุญเฮือน (ทำร่วมกับทำบุญปากเล้า)
4. นำข้าวเปลือกเต็มกระบุงไปถวายวัด มีลำดับขั้นตอนการทำพิธีต่าง ๆ ดังนี้
1. พิธีสู่ขวัญข้าว เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพระแม่โพสพ เพื่อความสบายใจในการซื้อขายข้าว และเพื่อให้การแบ่งปันข้าวแก่ญาติมิตรผู้มาร่วมพิธี
เครื่องบูชาหรือเครื่องคายในพิธีสู่ขวัญข้าว
1. ใบคูน 9 ใบ
2. ใบยอ 9 ใบ
3. ขันหมากเบ็ง (พานบายศรี)ห้าชั้น 2 ขัน
4. กระทงใหญ่เก้าห้อง ใส่เครื่องบัดพลีต่าง ๆ มีหมากพลู บุหรี่ ข้าวตอก ดอกสามปีบ่เหี่ยว (บานไม่รู้โรย) ดอกรัก ถั่วงา อาหารคาวหวาน หมากไม้ เหล้าไห ไก่ตัว ไข่ไก่ ข้าวต้มมัด เผือก มัน มันแข็ง มันอ่อน มันนก ข้าวต้มใส่น้ำอ้อย
5. ต้นกล้วย
6. ต้นอ้อย
7. ขัน 5 ขัน 8 (ซึ่งพานใส่ดอกไม้และเทียนจำนวนอย่างละ 5 คู่ และ 8 คู่ ตามลำดับ)
8. เทียนกิ่ง
9. ธูป
1๐. ประทีป
11. แป้งหอม
12. น้ำหอม
13. พานใส่แหวน หวี กระจก
14. เครื่องนอน มีสาดอ่อน (เสื่อ) หมอนลาย หมอนพิง แป้งน้ำ
15. ฟักแฟง ฟักทอง กล้วยตานี กล้วยอีออง (กล้วยน้ำว้า)
16. เงินคาย 1 บาทกับ 1 เฟื้อง
พิธีกรรม
1. จัดเครื่องบูชาวางไว้บนกองข้าว ในยุ้งฉางข้าวมีผ้าขาวปูรองรับ โยงด้ายสายสิญจน์ จากเครื่องบูชานั้น โยงไปรอบยุ้งและไปยังเรือนเจ้าของยุ้ง
2. หมอสูตรหรือเจ้าพิธีจะนุ่งขาวห่มขาวแบบพราหมณ์ ถือหนังสือใบลานก้อมเรื่องคำสูตรขวัญข้าวขึ้นไปที่ยุ้ง นั่งลงตรงหน้าเครื่องบูชา หันหน้าไปทางทิศที่เป็นมงคลประจำวัน ไหว้พระรัตนตรัย ป่าวสัคเคชุมนุมเทวดาแล้วอ่านคำสูตรขวัญข้าวจากหนังสือก้อม
3. ในขณะที่หมอสูตรกำลังร่ายคำอยู่นั้น โดยจะมีคน 2 คน ยืนระวังอยู่ 2 ข้างประตูยุ้งฉาง โดยจะคอยส่งเสียงร้องเรียกขวัญข้าวเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะสอดคล้องกับคำสูตรของหมอสูตร
4. เมื่อหมอสูตรว่าคำสูตรจบลงเป็นอันเสร็จพิธี แต่เครื่องบูชาทั้งหลายให้วางไว้ที่เดิมอีก 7 วัน เว้นแต่มีสิ่งใดที่เน่าบูดก็เก็บออกได้
5. ห้ามทำการตักข้าวออกจากยุ้งฉางก่อนจะครบ 7 วัน หลังจากทำพิธีสู่ขวัญข้าวแล้ว
2. พิธีหาบฝุ่น(ปุ๋ยคอก)ใส่ผืนนา เพื่อบำรุงดิน พิธีการ ในตอนเช้ามืดของวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ชาวนาจะต้องหาบปุ๋ยคอกจากกองมูลวัว มูลควาย ซึ่งมักอยู่ใต้ถุนเรือนของตน ทยอยออกไปใส่ผืนนา จนกระทั่งถึงเที่ยงวัน จึงหยุด เป็นการเริ่มต้นเอาฝุ่น (ปุ๋ยคอก) ใส่นาในปีนั้น
3. พิธีทำบุญเฮือน เพื่อนำสิริมงคลจากพระรัตนตรัยมาสู่ที่อยู่อาศัย พิธีการ ตอนเย็นนิมนต์พระภิกษุจำนวน 5 หรือ 9 รูป มาสวดมนต์เย็นที่บ้าน ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นนิมนต์พระสงฆ์ชุดเดิมมาสวดมนต์เช้าที่บ้านแล้วทำบุญตักบาตรและถวายจังหันเช้า
4. พิธีนำข้าวเปลือกเต็มกระบุงมาถวายวัด เพื่อแสดงความเคารพศรัทธาต่อพระสงฆ์ แต่เนื่องจากคนอีสานโบราณนั้นมีศรัทธาแรงกล้าต่อพุทธศาสนา เมื่อได้สิ่งที่ดี ๆ ต้องนำไปถวายพระก่อน โดยสมัยก่อนในวัดทุกวัดจะมียุ้งฉางข้าว (เล้าข้าว) ปลูกไว้ด้วย เมื่อญาติโยมบริจาคข้าวเปลือกก็นำมาเก็บไว้ในยุ้งฉาง ซึ่งเอาไว้แจกทานต่อผู้ยากไร้ในโอกาสต่อไป พิธีการ เมื่อถึงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี โดยจะตรงกับช่วงที่ชาวนานำข้าวเปลือกมาสู่เล้าหรือยุ้งฉางเสร็จใหม่ ๆ ชาวอีสานมีข้อคะลำหรือขะลำ (ข้อควรระวังหรือข้อห้าม) เกี่ยวกับข้าวว่า
1. ถ้ายังไม่ทำพิธีสู่ขวัญข้าวห้ามตักข้าวออกจากยุ้งฉาง ถ้าจำเป็นต้องใช้บริโภคต้องกันจำนวนหนึ่งไว้ต่างหาก
2. ห้ามตักข้าวในยุ้งฉางในวันศีลน้อยใหญ่ (ในวัน 7-8 ค่ำ และวัน 14-15 ค่ำ ทั้งขึ้นและแรม)
3. โดยก่อนตักข้าวทุกครั้ง นั้นจะต้องนั่งลงยกมือขึ้นพนมแล้วกล่าวคาถาว่า "บุญข้าว บุญน้ำเอย กินอย่าให้บก จกอย่าให้ลง" แล้วจึงตักได้ ดังนั้น ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี จึงมีพิธีสู่ขวัญข้าว พิธีต้มปากเล้า พิธีเอาบุญเฮือน และตอนบ่าย ๆ ของวันนั้นจะนำข้าวเปลือกเต็มกระบุงไปถวายวัด แล้วจึงใช้ข้าวในยุ้งฉางเป็นประโยชน์ได้ตามอัธยาศัย
ประเพณีบุญเบิกฟ้า มีประโยชน์ต่อวิถีชีวิตและจิตใจของเกษตรกรคือ
1. เป็นการเตรียมพร้อมที่จะลงมือทำการเกษตรได้ทันฤดูกาล เพราะเมื่อถึงเทศกาลบุญเบิกฟ้า พวกเขาย่อมได้ทำบุญให้เกิดขวัญและกำลังใจ ได้หาบปุ๋ยคอกบำรุงดิน แล้วเตรียมกาย เตรียมใจและเครื่องมือให้พร้อมที่จะทำนา
2. เป็นผู้มีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อพุทธศาสนา เพราะได้ทำบุญเป็นประจำทุกปี ทำให้รู้จักเสียสละไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
3. เป็นผู้มีความกตัญญูต่อผืนนา, สิ่งแวดล้อม และดินฟ้าอากาศ ตลอดจนเทพต่าง ๆ ที่มีความเชื่อว่าเป็นผู้บันดาลฝน และธัญญาหารเช่น พญาแถน และพระแม่โพสพ เป็นต้น
4. เป็นผู้รู้จักประหยัดเช่น รู้จักเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางอย่างมีระเบียบ แม้แต่จะ ตักออกก็ยังมีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเตือนสติไม่ให้ใช้ข้าวอย่างสุรุ่ยสุร่าย ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าที่ว่า "นตฺถิ ธญฺญสม ธน" แปลว่า "ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกไม่มี"



แสดงความเห็น
คำค้น (ขั้นสูง) |
Facebook Fanpage