Rating: 4.3/5 (6 votes)
วัดราชคีรีหิรัญยาราม
วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
วัดราชคีรีหิรัญยาราม (บนเขาสมอแคลง) ตั้งอยู่ที่บ้านสมอแคลง ในเขตอำเภอวังทอง เดินทางจากตัวเมืองพิษณุโลกไปตามทางหมายเลข 12 (เส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก) ประมาณ 14 กิโลเมตร (ก่อนถึงอำเภอวังทอง 3 กิโลเมตร) มีทางแยกซ้ายขึ้นเขาไปอีกประมาณ 300 เมตร
วัดราชคีรีหิรัญยาราม ประวัติเดิมไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้สร้างแต่ถูกกาลเวลาปล่อยทิ้งร้างจนมาถึงปี พ.ศ. 2483 โดยกระทรวงศึกษาธิการกรมการศาสนา ได้ออกหนังสือรับรองสภาพความเป็นวัดให้ไว้ ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 ความว่า "เป็นวัดที่สมบูรณ์ตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121"
ความเป็นมาของวัด ได้ค้นพบหนังสือสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระะราชนิพนธ์ พระราชปรารภ เรื่องพระพุทธและมีข้อความสำคัญกล่าวถึงวัดราชคีรีหิรัญยาราม ว่า
"พระพุทธเจ้าได้เสด็จบิณฑบาทไปถึงที่นั้น แล้วหยุดฉันท์ที่ใต้ต้นสมอ ที่เขาสมอแคลง ซึ่งเดิมเรียกว่าพนมสมอ ควรจะเป็นที่ตั้งพระพุทธศาสนา จึงมีรับสั่งให้จ่านกร้องและจ่าการบุญ คุมกำลังไพร่พลและเสบียงอาหารมาตรวจดูภูมิสถานแถบนั้น เมื่อจ่าทั้งสองได้ลงมาถึงที่ๆ ซึ่งกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ไปบิณฑบาตเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่ดี เหมาะแก่การที่จะสร้างเมืองใหม่
จึงได้มีใบบอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้ากรุงเชียงแสนและเจ้ากรุงศรีสัชชนาลัย พระเจ้าพสุจราช พระบิดาพระนางปทุมมาวดี เอกอัครมเหสีของพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมกันสร้างเมืองขึ้นมาใหม่เมื่อปี พ.ศ.1496 ตรงเช้าวันศุกร์ขึ้น 1 ค่ำ 3 ร.ศ.315 และให้ชื่อเริ่มแรกเมืองนั้นว่า เมืองพิษณุโลกโอฆะบุรี นับได้ว่าเป็นชะตาดวงเมืองของพิษณุโลก ตั้งแต่นั้นมาจึงถึงปัจจุบัน โดยอาศัยเหตุดังกล่าวมา"
โดยเริ่มแรกพระองค์ได้ทรงสถาปนาสร้างพระมหาธาตุรูปปรางค์สูง 8 วา และสร้างพระวิหารทั้ง 4 ทิศแล้วเสร็จ ก็ทรงให้สร้างพระพุทธรูปสำคัญขึ้น 3 พระองค์ โดยองค์เริ่มแรกได้ให้ชื่อพระนามว่า พระพุทธชินราช 1 องค์ องค์ที่สองให้พระนามว่า พระพุทธชินสีห์ 1 องค์ และองค์ที่สามให้พระนามว่า พระศรีศาสดา 1 องค์
โดยครั้งแรกได้ทรงเททองหลังจากการปั้นหุ่นขึ้นแบบแล้วปรากฏว่าทองแผ่นบริบูรณ์เพียงสององค์คือ พระพุทธชินสีห์ และ พระศาสดา ส่วนองค์เริ่มแรกที่ให้พระนามว่า พระพุทธชินราช นั้น ทองไม่แล่นเต็มองค์ และพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ก็ได้ทรงกระทำขึ้นอีกสองครั้ง ทองก็ยังไม่แล่นเต็มองค์ จนทำให้พระองค์ทรงโทมนัสยิ่งนัก
ต่อมาพระองค์พร้อมด้วยพระอัครมเหสีพระนางปทุมมาวดี พระราชเทวี ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมกันตั้งสัจจกริยาธิษฐานเสี่ยงเอาบุญบารมี จึงได้จัดการปั้นหุ่นขึ้นแบบใหม่ โดยครั้งนี้ได้มีชีปะขาว (ตาปะขาว) คนหนึ่งอาสาเข้ามาช่วยปั้นหุ่น ขึ้นแบบทำการด้วยความแข็งแรงมาก ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีเวลาหยุด ครั้นได้รูปหุ่นเสร็จ ก็ได้ทรงเททอง ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ (เป็นวันธรรมสวนะวันพระ) เดือน 6 ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช 319 พระพุทธศาสนา กาลล่วงแล้ว 1500 ปี หย่อนอยู่ 7 วัน
และทรงดำรัสสั่งให้อาราธนา ชุมนุมพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีโดยรอบใกล้เคียงเมืองนั้น ทั้งฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสี มี "พระอุบาฬี และพระศิริมานนท์" อันอยู่วัดเขาสมอแครง เป็นประธาน ให้สวดปริตพุทธมนต์ มหามงคลทำสัจจกริยาธิษฐาน อาราธนาเทพยดาให้ช่วยในการนั้น ทองก็แล่นเต็มองค์บริบูรณ์ เป็นที่โสมนัสแก่ทั้งสองพระองค์ยิ่งนัก และชีปะขาวที่ได้มาช่วยทำการนั้น ก็ได้เดินออกจากที่นั้นหายออกไปทางประตูเมืองข้างเหนือ และได้ไปถึงยังตำบลหนึ่งก็ได้หายไป โดยไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย ต่อมา ตำบลนั้นจึงได้ชื่อว่า ตำบลตาปะขาวตราบเท่าทุกวันนี้
ด้วยเหตุดังพระราชนิพนธ์ในราชกาลที่ 5 ได้ทรงกล่าวถึง วัดเขาสมอแคลง อันมีพระเถระผู้ใหญ่ พระอุบาฬี และพระศิริมานนท์ ได้รับอาราธนามาเป็นประธานการสวดพระปริตและพระพุทธมนต์ถึงสองครั้งย่อมแสดงให้เห็นว่า
วัดเขาสมอแครงนั้นมีความสำคัญยิ่งในสมัยนั้น และกาลปรากฏต่อมาในปัจจุบัน วัดที่เป็นวัดถูกต้องตามหลักการครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ก็มีอยู่เพียงวัดเดียวที่ตั้งอยู่บนเขาสมอแครง คือ วัดราชคีรีหิรัญยาราม มีเนื้อที่เขตวัดในปัจจุบันประมาณ 230 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา โดยสภาพ ถูกกาลเวลากลืนกินไปตามกาลรวมทั้งคนใจบาปหยาบช้าได้ขึ้นมาขุดทำลายโบสถ์, วิหาร, เจดีย์ต่างๆ เสียหายสิ้นสภาพหมด เพียงเพื่อจะค้นหาวัตถุมงคลที่เรียกว่า "พระสมเด็จนางพญา" เท่านั้น
หมวดหมู่: สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
กลุ่ม: วัด
ปรับปรุงล่าสุด : 3 ปีที่แล้ว