หน้าหลัก > ภาคกลาง > จ.กรุงเทพมหานคร > อ.บางกอกใหญ่ > ต.วัดอรุณ > วัดใหม่พิเรนทร์


กรุงเทพมหานคร

วัดใหม่พิเรนทร์

วัดใหม่พิเรนทร์

Rating: 3.4/5 (10 votes)

วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
 
วัดใหม่พิเรนทร์ เป็นวัดเล็ก ๆ วัดโบราณวัดหนึ่ง ได้สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2384 ตั้งอยู่เลขที่ 611 ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่ม อยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งประชาชนส่วนมากประกอบอาชีพทำข้าวหลามขาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า “วัดใหม่บ้านข้าวหลาม”ครั้นต่อมาทางการ ได้ตัดถนนผ่านหน้าวัด (ถนนอิสรภาพ) ทำให้การคมนาคมไปมาสะดวกขึ้นประกอบกับอยู่ใกล้กับสามแยกโพธิ์สามต้น ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า “วัดใหม่โพธิ์สามต้น”
 
ในอดีตนั้น พระพิเรนทรเทพ และญาติพี่น้องในฐานะผู้สร้างและทำให้วัดมีหลักฐานมั่นคงเพื่อเป็นเกียรติประวัติจึงได้ขนานนามวัดตามบรรดาศักดิ์ท่านว่า “วัดใหม่พิเรนทร์”มาจนถึงปัจจุบัน โดย วัดใหม่พิเรนทร์ มีเนื้อที่ 8 ไร่ 46 ตารางวา อาณาเขตดังนี้
 
ทิศเหนือ ติดต่อกับที่ดินเอกชน ความยาว 75.30 เมตร ทิศใต้ ติดต่อกับที่ดินเอกชน ความยาว 137.00 เมตร ทิศตะวันออก ติดต่อกับถนนอิสรภาพ ความยาว 126.10 เมตร ทิศตะวันตก ติดต่อกับลำคลอง ความยาว 93.90 เมตร
 
พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มมีกำแพงคอนกรีตกันเขตวัด หน้าวัดอยู่ทางทิศตะวันออก มีถนนอิสรภาพผ่าน อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มีอุโบสถ กว้าง 8.80 เมตร ยาว 23.80 เมตร แต่เดิมสร้างเมื่อ พ.ศ. 2387 ด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบมีกันสาด ได้ทำการซ่อมแซมดัดแปลงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2501 เป็นแบบหลังคาคอนกรีตสองชั้นมีซุ้มประตูด้านหน้า มีกุฏิสงฆ์ 9 หลัง
 
เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้นมุงหลังคาด้วยกระเบื้องเคลือบ หอสวดมนต์ เป็นเสาคอนกรีต ฝาและพื้นเป็นไม้สักมี สามจั่ว ศาลาเอนกประสงค์ เป็นตึกสองชั้น ตรีมุข มีช่อฟ้าใบระกาหางหงษ์ ที่นห้าบันจารึกพระพุทธรูปไว้ทั้งสามด้าน นอกจากนี้ยังมี ศาลาการเปรียญ ชื่อศาลาพร้อม ศิริวัฒนกุล หอระฆัง ฌาปนสถาน ศาลาบำเพ็ญกุศล เมรุ สุสาน พระพุทธรูปปูนปั้นแบบสุโขทัย 2 องค์ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ และห้ามสมุทร รวม 7 องค์ พระประธาน 1 องค์ จึงเป็นพระพุทธรูปทั้งหมด 10 องค์
 
วัดใหม่พิเรนทร์ ถูกสร้างขึ้นมานานแล้วในทางประวัติศาสตร์น่าจะสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลาย ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ตั้งของพระราชวังเดิม (สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี) มีเรื่องเล่าว่า บริเวณวัดใหม่พิเรนนทร์มีต้นโพธิ์ยืนตระหง่าน เมื่อสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชไทย พ.ศ. 2310 พระองค์ท่านได้ล่องเรือพาทหาร และข้าราชบริภาร
 
ล่องเรือมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา มุ่งมาทางใต้ และได้มาถึงบริเวณวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) ในรุ่งขึ้น พระองค์ก็อธิฐานจติที่จะตั้งเมืองใหม่บริเวณที่แห่งนี้เพื่อสร้างเมืองก็คือ กรุงธนบุรี บริเวณที่แห่งนี้มีแม่น้ำล้อมรอบคือ แม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ทางด้านทิศตะวันออก คลองบางหลวงอยู่ทางด้านทิศใต้ คลองมอญอยู่ทางด้านทิศเหนือ และคลองบางกอกใหญ่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก บริเวณที่แห่งนี้มีวัดที่สร้างมาแล้ว แต่เป็นวัดทรุดโทรม และมีพระภิกษุสามเณรพำนักจำพรรษาน้อย วัดที่ว่านี้มี 7 วัด คือ
 
1. วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) 2. วัดโมลีโลกยาราม 3. วัดหงส์รัตนาราม 4. วัดราชสิทธาราม  5. วัดนาคกลาง 6. วัดเครือวัลย์ 7. วัดใหม่บ้านข้าวหลาม (วัดใหม่พิเรนทร์) จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้ง 7 วัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กันโดยมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และประชาชนผู้ศรัธธาในพระพุทธศาสนาสร้างขึ้นมาไว้เป็นที่ปฏิบัติศาสนธรรมตามพุทธประเพณี โดยวัดที่กลาวมาทั้ง 7 วัดนั้น ปัจจุบันนี้มีวัดที่ได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวง 6 วัด คือ 1. วัดอรุณราชวราราม 2. วัดโมลีโลกยาราม 3. วัดหงส์รัตนาราม 4. วัดราชสิทธาราม 5. วัดนาคกลาง  6. วัดเครือวัลย์
 
มีเพียงวัดใหม่พิเรนทร์ เพียงวัดเดียวที่เป็นวัดราษฎร์ มีเรื่องเล่าขานทางประวัติศาสตร์ว่าวัดใหม่พิเรนทร์นี้ บริเวณที่ตั้งรอบ ๆ มีต้นใผ่ขึ้นปกคลุมบริเวณชุมชนรอบวัดและมีคลองเล็ก ๆ ผ่านทางด้านทิศตะวันตกหากจะกล่าวถึงชัยภูมิการตั้งเมืองกรุงธนบุรี ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราชพระองค์ท่านตงคิดว่าบริเวณเหล่านี้น่าจะเป็นสถานที่อันเป็นมงคลที่จะสร้างเป็นราชธานี เพราะมีวัดล้อมรอบ และมีคลองล้อมรอบด้วย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการป้องกัน และรักษาเมืองมิให้อริราชศัตรูเข้ามาทำลายได้ยากยิ่ง
 
ต่อมา วัดใหม่พิเรนทร์ หรือชื่อเดิมว่า วัดใหม่โพธิ์สามต้น หรือ วัดใหม่บ้านข้าวหลาม ตามีที่ชาวบ้านเรียกกันก็สุดแต่ใครจะเรียก เพราะทั้งสามชื่อก็คือวัดเดียวกันตามหลักฐานการสร้างวัดและบูรณะวัด ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระพิเรนทรเทพ (ขำ ณ ราชสีมา)
 
เป็นบุตรของ เจ้าพระยากำแหงสงครามหรือ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินทร์ อินทรกำแหง) ในสมัยนั้นท่านดำรงตำแหน่งกรมพระตำรวจหลวง รัชกาลที่ 3 ท่านได้เดินทางมาสักการะพระราชวังเดิม (วัดอรุณราชวราราม) ได้มาเยี่ยมญาติในบริเวณนี้ และท่านได้เห็นวัดใหม่โพธิ์สามต้น หรือวัดใหม่บ้านข้าวหลาม ที่มีเสนาสนะชำรุดทรุดโทรมมาก ท่านจึงปรารภกับญาติ ๆและผู้ติดตามว่า จะสร้างวัดแห่งนี้ไว้เป็นที่ให้พระภิภษุ-สามเณร ได้ปฏิบัติศาสนธรรมทางพระพุทธศาสนา หลังจากท่านได้ปฏิสังขรณ์วัดพระพิเรนทร์ (วัดขำเขมการาม) เมื่อพ.ศ. 2379 และได้มาปฏิสังขรณ์วัดใหม่โพธิ์สามต้น เมื่อ พ.ศ. 2384
 
ที่ชื่อว่า วัดใหม่ขี้หมู นั้นเรียกตามภาษาชาวบ้านเท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่าเดิมก่อนสร้างวัดก็ดีหรือสร้างวัดแล้วก็ดี เป็นที่ ๆ มีหมูป่าอยู่เป็นจำนวนมาก และหมูเหล่านี้ได้ถ่ายเอาไว้เหม็นทั่วไปหมด ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดใหม่ขี้หมู ทั้งนี้เพราะเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่และแม้ว่าภายหลังจะมีประชาชนมาอยู่มากขึ้น ทำให้หมูป่าสูญพันธุ์ไป แต่ก็มีผู้เอาหมูมาเลี้ยงปล่อยไว้ตามใต้ถุนกุฏิพระเป็นจำนวนมาก หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2485 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีผู้เอาหมูมาเลี้ยงปล่อยไว้ใต้ถุนกุฏิพระเป็นสิบ ๆ ตัว เวลาเข้าไปหาเศษแก้ว ขวดแตกเศษเหล็กขายเหม็นขี้หมูจนไม่อยากเข้าไป
 
ที่ชื่อว่า วัดใหม่บ้านข้าวหลาม นั้นก็เรียกตามภาษาชาวบ้านเช่นกัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่าวัดนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ ณ บ้านข้าวหลาม ชาวบ้านจึงนิยมเรียกตามชื่อบ้านเพราะจำง่ายหาง่าย และเรียกจนติดปาก เด็ก ๆ รุ่นเราไม่รู้จัก รู้จักแต่ชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ ชาวบ้านรู้จักชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ มากขึ้นก่อนปี 2500 เล็กน้อยและคนที่ยังเรียกว่าวัดใหม่บ้านข้าวหลามก็ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน
 
คนวัดใหม่พิเรนทร์ไม่รู้จักชื่อวัดใหม่บ้านข้าวหลาม เช่นเดียวกับวัดชิโนรสาราม กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงสร้างไว้ที่ริมคลองมอญ ก็เรียกว่า วัดใหม่คลองมอญ และถึงแม้ว่าภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จะพระราชทานชื่อให้ว่าวัดชิโนรสาราม เพื่อถวายพระเกียรติองค์ผู้สร้างวัด แต่ชาวบ้านก็เรียกว่าวัดใหม่คลองมอญอยู่ดี คนรุ่นก่อนเรียกกันจนติดปากเวลาจะเล่นน้ำก็จะชวนกันไปเล่นที่ท่าวัดใหม่คลองมอญเป็นต้น
 
วัดใหม่พิเรนทร์เป็นชื่อที่เป็นทางการเป็นชื่อที่มีอยู่ในทำเนียบวัดของกรมการศาสนา ส่วนคำว่าใหม่นั้นไม่เป็นที่สงสัยเพราะเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่ แต่คำว่า พิเรนทร์ นั้นมีคำถามมากมายทั้งจากผู้อื่นที่ถามมาและเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้ที่สร้างวัดนี้คือ พระพิเรนทรเทพ 
 
ถามว่า พระพิเรนทรเทพสร้างขึ้นใหม่ ทำไมไม่ตั้งชื่อวัดใหม่พระพิเรนทร์ ตอบว่า เพราะจำไปซ้ำกับวัดพระพิเรนทร์ ซึ่งพระพิเรนทรเทพท่านที่ 1 คือ นายสุดใจได้สร้างไว้ก่อนแล้วที่วรจักร ถามว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ตั้งชื่อว่า วัดใหม่พิเรนทรเทพ หรือ วัดใหม่ทรเทพ ตอบว่า คำว่า พิเรนทรเทพ เป็นราชทินนามคำว่า พระ คือ ยศ หรือ ศักดินา เช่นท่านขุน คุณหลวง คุณพระ พระยา เหล่านี้คือ ยศหรือศักดินาที่ได้เลื่อนขึ้นเมื่อทำความดีความชอบเหมือนร้อยตรีขึ้นเป็นร้อยโท เป็นต้น
 
ส่วนที่ไม่ใช้ทรเทพนั้น เข้าใจว่าคงไม่เป็นที่นิยมกัน ขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์มักจะใช้บรรดาศักดิ์คำหน้าราชทินนาม เช่นหลวงพิบูลสงคราม ก็ใช้เรียนกันว่า หลวงพิบูล เฉย ๆ พระบริภัณฑ์ยุทธกิจก็เรียกกันว่า พระบริภัณฑ์ ถามว่า ถ้าอย่างนั้นพระพิเรนทรเทพ จึงตั้งชื่อวัดที่สร้างขึ้นใหม่ว่าวัดใหม่ แล้วเอาราชทินนามคำหน้าใส่ไว้ใช่หรือไม่ ตอบว่า อาจเป็นความประสงค์ของท่านผู้สร้างที่จใช้คำหน้าของบรรดาศักดิ์เท่านั้น เพราะปกติเข้าใจว่าผู้ที่เรียกท่านก็จะเรียกว่า พระพิเรนทร์เท่านั้น
 
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าผู้ที่สร้างวัดใหม่พิเรนทร์คือ พระพิเรนทรเทพ (ขำ) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 และเป็นพระพิเรนทรเทพท่านที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งท่านพิเรนทรเทพนั้นมีอยู่ 3 ท่านด้วยกัน คือ
 
ท่านที่ 1 พระพิเรนทรเทพ ท่านสุดท้ายในสมัยกรุงศรีอยุทธยาซึ่งมีรับสั่งให้ยกกองทัพไปรักษาเมืองกาญจนบุรี และได้ถูกกองทัพพม่าตีแตกพ่าย เนื่องเพราะมีกำลังน้อยกว่า
 
ท่านที่ 2 ชื่อนายสุดใจ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นพระพิเรนทรเทพเมื่อทรงปราบดาภิเษก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2325
 
ท่านที่ 3 ชื่อนายขำ ปรากฎชื่อเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีรับสั่งให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา พระยามหาอำมาตรย์ และพระพิเรนทรเทพไปสักเลกชายฉกรรจ์ ลาวตะวันออกเขมรป่าดง เมื่อพ.ศ. 2380
 
เมื่อพระพิเรนทรเทพมีศรัทธาที่จะสร้างวัดให้เป็นสมบัติไว้ในพระพุทธศาสนานั้น ต้องดำเนินการเบื้องต้นสองประการก่อนคือ 
1. ต้องจัดหาที่ดินที่เหมาะสมก่อนคือใกล้น้ำ เพราะในสมัยก่อนการสัญจรไปมาใช้ทางน้ำเป็นหลัก
 
2. ต้องหาคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจ และมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องไม้ไปเสาะหาแหล่งไม้สักก่อน และไม้สักนั้นจะขึ้นได้ดีต้องเป็นพื้นที่ ๆดินดี น้ำดี อากาศดี ดังนั้นไม้สักจึงมีมากในภาคเหนือคือ ตั้งแต่แต่จังหวัดกำแพงเพชรขึ้นไป และในการหาแหล่งไม้ที่เป็นป่าสมบูรณ์จะต้องใกล้ลำน้ำด้วย เพราะจะใช้อาบกิน และปลูกผักสวนคัวเพื่อเป็นเสบียงต้องหาที่สำหรับทำนาปลูกข้าว
 
และต้องใกล้ป่าไผ่สำหรับทำแพบรรทุกไม้ล่องมาด้วย ไม้ที่ต้องใช้สำหรับสร้างวัดใหม่พิเรนทร์ใช้คนทำงานประมาณ 70 คน โดยแบ่งงานดังนี้ ใช้คนคัดเลือกไม้ตัดโค่น ตัดทอน ชักลากรวมหมอน 15 คน ถากเสาและพริกไม้ 15 คน เลื่อยไม้แปรรูป 35 คน ตัดไม้ไผ่ทำแพ 5 คนในการเลื่อยไม้นั้นต้องใช้เลื่อยโครงเป็นคู่ คู่หนึ่งถ้าไม้ขนาดหน้ากว้าง 10 นิ้ว หน้านิ้วครึ่ง ยาว 5 เมตร จะได้โดยเฉลี่ยวันละ 3 แผ่น ดังนั้นจะต้องใช้เวลาทำไม้ถึง 3 ปี หยุดพักหน้าฝนปีละ 5 เดือนรวมแล้วต้องใช้เวลาเต็ม ๆ 24 เดือน เป็นอย่างต่ำได้เสาล่องเสาได้ไม้ล่องไม้โดยต้องมีช่างที่มีความรู้ทางช่างไม้ด้วยว่าจะเลื่อยไม้อะไรก่อน ส่วนช่างปลูกสร้างก็ต้องเตรียมวางผังขุดหลุมไสไม้ถากเสา ทั้งหมดที่อธิบายมาพอเป็นสังเขป
 
เมื่อสร้างวัดโพธิ์สามต้นเสร็จแล้ว ชาวบ้านและญาติมิตรจึงเปลี่ยนชื่อวัดจาก วัดใหม่โพธิ์สามต้น หรือวัดใหม่บ้านข้าวหลาม เป็น วัดใหม่พิเรนทร์ และขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใน ปี พ.ศ. 2384 ปีเดียวกันนั้น เหตุที่ชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ ก็เพราะเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ พระพิเรนทรเทพ และไม่ได้ให้ซ้ำกับวัดพระพิเรนทร์ จึงใช้คำว่า “ใหม่” นำหน้า
 
จึงเป็นชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ ต่อมาพระพิเรนทรเทพ ท่านได้รับราชการมีตำแหน่งหน้าที่เจริญรุ่งเรืองสนองงานของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เคารพบูชายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธศาสนา ท่านจึงได้รับสถาปนา ยศสูงขึ้นตามลำดับ ยศสุดท้ายในฐานันดรศักดิ์ที่ พระยาไชยวิชิตสิทธิ์สาตรา (ขำ อินทรกำแหง ณ ราชสีมา) จากหลักฐานที่สืบค้นนพงศาวดารรัชกาลที่ 3 และหนังสือต่าง ๆ ที่ผู้รู้เขียนตำราอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ไว้

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หมวดหมู่: สถานที่ศักดิ์สิทธิ์

วัด กลุ่ม: วัด

ปรับปรุงล่าสุด : 9 ปีที่แล้ว

แผนที่วัดใหม่พิเรนทร์

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์

วัด วัด(430)

https://www.lovethailand.org/อ.พระนคร(24)

https://www.lovethailand.org/อ.ดุสิต(17)

https://www.lovethailand.org/อ.คลองสาน(7)

https://www.lovethailand.org/อ.คลองเตย(3)

https://www.lovethailand.org/อ.จตุจักร(2)

https://www.lovethailand.org/อ.ดอนเมือง(5)

https://www.lovethailand.org/อ.ตลิ่งชัน(26)

https://www.lovethailand.org/อ.ธนบุรี(23)

https://www.lovethailand.org/อ.บางกอกน้อย(31)

https://www.lovethailand.org/อ.บางกอกใหญ่(13)

https://www.lovethailand.org/อ.บางกะปิ(5)

https://www.lovethailand.org/อ.บางขุนเทียน(15)

https://www.lovethailand.org/อ.บางเขน(3)

https://www.lovethailand.org/อ.บางคอแหลม(10)

https://www.lovethailand.org/อ.บางซื่อ(9)

https://www.lovethailand.org/อ.บางพลัด(23)

https://www.lovethailand.org/อ.บางรัก(6)

https://www.lovethailand.org/อ.จอมทอง(16)

https://www.lovethailand.org/อ.บึงกุ่ม(5)

https://www.lovethailand.org/อ.ประเวศ(6)

https://www.lovethailand.org/อ.ปทุมวัน(6)

https://www.lovethailand.org/อ.ป้อมปราบศัตรูพ่าย(11)

https://www.lovethailand.org/อ.พญาไท(1)

https://www.lovethailand.org/อ.พระโขนง(4)

https://www.lovethailand.org/อ.ภาษีเจริญ(23)

https://www.lovethailand.org/อ.มีนบุรี(7)

https://www.lovethailand.org/อ.ยานนาวา(8)

https://www.lovethailand.org/อ.ราชเทวี(4)

https://www.lovethailand.org/อ.ราษฎร์บูรณะ(6)

https://www.lovethailand.org/อ.ลาดกระบัง(13)

https://www.lovethailand.org/อ.หนองจอก(16)

https://www.lovethailand.org/อ.ลาดพร้าว(4)

https://www.lovethailand.org/อ.สาทร(4)

https://www.lovethailand.org/อ.สัมพันธวงศ์(12)

https://www.lovethailand.org/อ.หนองแขม(6)

https://www.lovethailand.org/อ.ห้วยขวาง(3)

https://www.lovethailand.org/อ.สวนหลวง(7)

https://www.lovethailand.org/อ.ดินแดง(2)

https://www.lovethailand.org/อ.หลักสี่(1)

https://www.lovethailand.org/อ.สายไหม(8)

https://www.lovethailand.org/อ.คันนายาว(2)

https://www.lovethailand.org/อ.วังทองหลาง(1)

https://www.lovethailand.org/อ.คลองสามวา(10)

https://www.lovethailand.org/อ.วัฒนา(2)

https://www.lovethailand.org/อ.บางนา(4)

https://www.lovethailand.org/อ.ทวีวัฒนา(3)

https://www.lovethailand.org/อ.บางแค(6)

https://www.lovethailand.org/อ.ทุ่งครุ(4)

https://www.lovethailand.org/อ.บางบอน(3)