Rating: 3.3/5 (7 votes)
วัดวรามาตยภัณฑสาราราม
วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
วัดวรามาตยภัณฑสาราราม พระยามหาอำมาตยาธิบดี(ป้อม อมาตยกุล) เป็นบุตรคนที่2ของหลวงพิพิธสมบัติ(เอม) เป็นบุตรชายคนโต ซึ่งต่อมาได้รับพระราชาทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยามหาอำมาตย์ เกิดเมื่อปีฉลู จ.ศ.1143(พ.ศ.2324) ในปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อเจริญวัยได้ทำการสมรสกับ น.ส.เย็น บุตรหลวงอุดมสมบัติ(เจ้สัวเหยี่ยว)และครูเล็ก ณ บ้านซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกเหนือวัดระฆัง จังหวัดธนบุรี
พระยามหาอำมาตย์ (ป้อม)ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้เป็นแม่ทัพขึ้นไป สมทบกับทัพเจ้าพระยาสุภาวดี ตีทัพเมืองเวียงจันทร์ จนทัพเวียงจันทร์แตก ในปี พ.ศ. 2370 หลังเสร็จศึกสงครามกับเมืองเวียงจันทร์แล้ว จึงได้คิดสร้างวัดขึ้นบนที่ดินสวนในคลองบางหลวง ประมาณปี พ.ศ.2381 ให้ชื่อว่าวัดขุนจันทร์ หน้าวัดหันลงสู่คลองบางหลวง หลังวัด เป็นสวนผลไม้ ซึ่งปัจจุบันคือถนนเทอดไทตัดผ่าน
เมื่อพระยามหาอำมาตย์ (ป้อม) ถึงอนิจกรรมด้วยวัย 68ปี (พ.ศ.2391) ภายหลังอีกประมาณ 35 ปี วัดขุนจันทร์ได้ทรุดโทรมลงมาก บุตรคนเล็กรับราชการอยู่ในวังหลวงและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งเป็นท้าวภัณทสารฯ มีหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดพระยุคลบาท
มีความระลึกถึงพระคุณบิดาจึงปฏิสังขรณ์วัดขุนจันทร์ให้ดีขึ้นเป็นลำดับแล้วกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขอพระราชทาน
ชื่อวัดและตั้งใจจะถวายให้เป็นวัดหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อใหม่เป็นมงคลโดย ใช้ชื่อผู้สร้างและผู้ปฏิสังขรณ์รวมกันเป็นนามวัดใหม่ว่า “วัดวรามาตยภัณฑสาราราม” โดยมีหลักฐานหนังสือพระบรมราชโองการพระราชทานชื่อเมื่อปี พ.ศ.2426 ดังปรากฎอยู่แล้วในหนังสือเล่มนี้ ชาวบ้านเรียกชื่อวัดนี้ว่า “วัดขุนจันทร์”
สืบต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คุณท้าวภัณฑสารฯ เดิมมีบรรดาศักดิ์เต็มว่า ท้าวภัณฑสารานุวัตร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 หลังจากที่ได้พระราชทานชื่อวัดยังไม่ปรากฎว่าทรงรับวัดขุนจันทร์เป็นวัดหลวง ท้าวภัณฑสารฯ พ.ศ.2430 จึงได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นท้าวทรงกันดาล มีหน้าที่คุ้มการพระคลังมหาสมบัติฝ่ายใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ท้าวทรงกันดาล (วรรณ) ถึงแก่กรรม ไม่ปรากฏว่ามีท่านหนึ่งท่านใดในสกุลอมาตยกุล ได้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้ ต่อมาจวบจนถึงสมัยรัชกาลที่ 7 จึงมีผู้ปฏิสังขรณ์ต่อ จะรวมอัฎฐิและอังคารที่เสร็จจากการพระราชทานเพลิงศพแล้ว ก็นำมาบรรจุที่อุโบสถวัดขุนจันทร์ตราบเท่าทุกวันนี้ ประมาณ พ.ศ.2477
ประวัติวัดขุนจันทร์จึงลงเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาไปดูวัด เห็นสภาพทรุดโทรมมากจึงนำความขึ้นหารือกับพระเถระผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยบางองค์
หนึ่งคือพระภิกษุหลออนุสิทธิ์ฯ ซึ่งครั้งนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดตองปู(วัดชนะสงคราม บางลำพู กรุงเทพฯ) คุณจิ้มลิ้ม วีระไวทยะ (อมาตยกุล ชั้น 6)เป็นผู้ริเริ่มในการบูรณะวัดขุนจันทร์ในสมัยรัชกาลที่ 7 “วิหารหลวงพ่อโต” ทรุดโทรมมาก
ตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดถูกระเบิดลงบริเวณหน้าวัด มีต้นโพธิ์ใหญ่ แรงระเบิดทำให้กำแพงของวิหารพังทลาย อิฐหักเต็มไปหมด
สมภารเรียกว่า “พระหลวง” วิหารหลวงพ่อโตเป็นหลังคาจากชั่วคราว หลวงพ่อโตเป็นพระคู่วัดขุนจันทร์มาตั้งแต่แรก ถูกทอดทิ้งไว้กลางแดด กลางฝน ไม่มีหลังคาคลุม จึงจัดสังกะสีทำเป็นหลังคาคลุมไว้โดย คุณวีระ วีระไวทยะ และชาวบ้านคนจีนรวมกำลังศรัทธาบูรณะวิหารประมาณปี พ.ศ.2506
เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ได้พัฒนาก่อสร้างศาสนวัตถุปรับปรุงซ่อมแซม ทั้งพระอุโบสถ วิหารลานเจดีย์ ศาลาบำเพ็ญกุศล และอาคารต่างๆ
ที่ชำรุดทรุดโทรมไป โดยอาศัยศรัทธาการบริจาคปัจจัยจากศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและต่างประเทศเพื่อสืบทอดศาสนาต่อไป
หมวดหมู่: สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
กลุ่ม: วัด
ปรับปรุงล่าสุด : 1 ปีที่แล้ว