หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาเหมืองกุง

Rating: 4/5 (6 votes)
สถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
วันเปิดทำการ: จันทร์–เสาร์ (วันอาทิตย์ปิดทำการ) (แนะนำโทร/ทักเพจล่วงหน้า เพราะบางช่วงอาจปรับตามงานสั่งทำ/กิจกรรมชุมชน)
เวลาเปิดทำการ: 09.00–16.00 น.
หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาเหมืองกุง เที่ยวเชียงใหม่ เที่ยวภาคเหนือ คือชุมชนงานหัตถกรรมที่มี “ดิน” เป็นทั้งวิถีชีวิตและความทรงจำของพื้นที่ บ้านเหมืองกุงเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในฐานะแหล่งผลิต “น้ำต้น” หรือคนโทใส่น้ำของชาวล้านนา ซึ่งหลายคนจำได้ทันทีจากภาพภาชนะดินเผาทรงอ้วนกำลังดี ปากแคบพอให้น้ำไม่หกง่าย และพกพาไปกับคนเดินทางได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ความนิยมของน้ำต้นไม่ได้มาจากความสวยอย่างเดียว แต่มาจากประโยชน์ใช้สอยจริง ๆ เพราะภาชนะดินเผาชนิดนี้ช่วยทำให้น้ำ “เย็นนาน” ได้จากธรรมชาติของเนื้อดินที่ระบายความร้อนได้ดี และมีรูพรุนค่อนข้างมาก น้ำที่อยู่ข้างในจึงคงความเย็นอยู่เสมอ จนกลายเป็นของจำเป็นประจำบ้าน และค่อย ๆ ขยับสถานะไปเป็นของแต่งบ้าน/ของฝากในยุคปัจจุบัน
งานปั้นของบ้านเหมืองกุงที่พบได้ทั่วไปมีทั้งหม้อแกง หม้อน้ำ แจกัน หม้อดิน และเครื่องปั้นดินเผาชนิดต่าง ๆ แต่ “น้ำต้น” มักเป็นชิ้นที่คนยอมรับร่วมกันว่าเป็นตัวแทนของชุมชนมากที่สุด เพราะมันบอกเล่าได้ทั้งภูมิปัญญาเรื่องการเก็บน้ำ การเดินทาง และความละเอียดอ่อนของชีวิตในโลกที่ยังไม่มีตู้เย็นหรือวัสดุสมัยใหม่เป็นตัวเลือก ความจริงอีกชั้นหนึ่งคือ บ้านเหมืองกุงถูกพัฒนาขึ้นเป็นหนึ่งในโครงการหมู่บ้านหัตถกรรมของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทำให้ชุมชนมีบทบาทในฐานะแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการเป็นพื้นที่ผลิตจริง ไม่ใช่เพียง “ตลาดของฝาก” ที่แยกขาดจากรากเดิมของคนทำงาน
ถ้าลองมองให้ลึกลงไปอีกนิด คุณจะเห็นความน่าสนใจของบ้านเหมืองกุงอยู่ที่ “ชั้นชาติพันธุ์” ที่ซ่อนอยู่ในชื่อเรียกของน้ำต้นในอดีต เดิมทีชาวพื้นเมืองจำนวนมากเรียกภาชนะชนิดนี้ว่า “น้ำต้นเงี้ยว” เพราะคนที่ทำหม้อน้ำต้นเป็น “ชาวเงี้ยว” หรือไทยใหญ่ (ไทใหญ่/ชาน) ที่ถูกกวาดต้อนและอพยพมาจากเมืองปุและเมืองสาด ซึ่งปัจจุบันอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า เมื่อเวลาผ่านไป การผสมผสานด้านขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และเผ่าพันธุ์ ทำให้ศิลปะการทำน้ำต้นเงี้ยวได้รับการปรับปรุงและพัฒนารูปแบบทั้งรูปทรง ขนาด และกรรมวิธีการผลิต จนชื่อ “น้ำต้นเงี้ยว” ค่อย ๆ กลายเป็น “น้ำต้นเชียงใหม่” ในภายหลัง และหมู่บ้านที่ผลิตหม้อและน้ำต้นก็ถูกเรียกกันว่า “บ้านน้ำต้น” ซึ่งเป็นชื่อเดิมของบ้านเหมืองกุง นี่คือภาพของเชียงใหม่ในฐานะเมืองที่งานฝีมือไม่ได้เกิดจากเชื้อชาติเดียว แต่เกิดจากการเดินทาง การตั้งถิ่นฐาน และการอยู่ร่วมกันของผู้คนหลายกลุ่ม
ในเชิงเทคนิค น้ำต้นของบ้านเหมืองกุงอาศัยคุณสมบัติของเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้อุณหภูมิในการเผาไม่สูงนัก เนื้อดินจึงค่อนข้างหยาบ หนา และมีรูพรุนมากพอสมควร จุดนี้เองที่ทำให้เกิดการระเหย/การถ่ายเทความร้อนบางส่วน ช่วยให้ผิวภาชนะและน้ำด้านในรักษาความเย็นได้ดี (ในภาษาชาวบ้านคือ “น้ำเย็นธรรมชาติ”) และเพราะมันเป็นภาชนะที่อยู่ในบ้านแทบทุกหลัง “น้ำต้น” จึงไม่ได้เป็นแค่ของใช้ แต่เป็นของแต่งบ้าน เป็นภาพจำของครัวล้านนา และเป็นวัตถุที่โยงชีวิตประจำวันเข้ากับความทรงจำของครอบครัวแบบเงียบ ๆ
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการผลิตหม้อน้ำต้นในช่วงหนึ่งเคยเป็นเพียงอาชีพรอง และรายได้จากทั้งอาชีพหลักและอาชีพรองก็ไม่ได้ทำให้มีฐานะอยู่ดีกินดีได้มากนัก หลายบ้านทำได้แค่ “ประทังชีวิต” จนในช่วงที่ความต้องการลดลงเพราะมีภาชนะพลาสติก ผลิตภัณฑ์เซรามิก และเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างตู้เย็น/เครื่องปั่นผลไม้เข้ามาเป็นตัวเลือก ทำให้ความต้องการภาชนะใส่น้ำแบบดั้งเดิมลดน้อยลงไป การผลิตหม้อน้ำต้นจึงเหลือเพียงไม่กี่หลังคาเรือน นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชุมชน เพราะมันบังคับให้บ้านเหมืองกุงต้อง “ต่อรองกับยุคสมัย” และหาคำตอบใหม่ว่า ถ้าน้ำต้นไม่ใช่ของจำเป็นเหมือนเดิมแล้ว คุณค่าของมันจะถูกวางไว้ตรงไหน
คำตอบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการเอาศิลปะเข้ามาประยุกต์ใช้ เพิ่มกรรมวิธีในการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสะดุดตามากขึ้น ปรับรูปแบบให้เหมาะกับการเป็นของตกแต่ง ของใช้ร่วมสมัย และของฝากที่มีเรื่องเล่า ทำให้เราจะได้เห็นงานที่มีสีสันสดขึ้น มีลวดลายและฟอร์มที่หลากหลายกว่าเดิม แต่ยังยืนอยู่บนฐานคิดเดิมคือ “ดินต้องทำงานได้จริง” งานจำนวนมากจึงยังคงคาแรกเตอร์ความเป็นงานมือ ความอบอุ่นของผิวสัมผัส และความรู้สึกเรียบง่ายแบบบ้าน ๆ ที่ทำให้คนอยากวางไว้ในพื้นที่ของตัวเอง
ถ้าคุณอยากมาเที่ยวบ้านเหมืองกุงให้ได้อะไรมากกว่าการซื้อของฝาก ลองให้เวลากับ “การสังเกตกระบวนการ” ตั้งแต่การเตรียมดิน ปั้นขึ้นรูป ตกแต่ง ลบรอยมือ การตากให้แห้งแบบไม่เร่งจนแตกร้าว ไปจนถึงการเผา เพราะทั้งหมดสะท้อนวินัยของช่างและความสัมพันธ์กับสภาพอากาศเหนืออย่างชัดเจน งานดินเผาเป็นงานที่ชอบอากาศแห้ง แต่ก็ต้องคุมความแห้งไม่ให้เร็วเกินไป การทำงานจึงเป็นการคุยกับฤดูกาลไปพร้อมกัน และยิ่งคุณเข้าใจ “ความช้า” ของงาน คุณจะยิ่งเห็นว่าทำไมชิ้นหนึ่งถึงมีคุณค่าเกินกว่าราคาในป้าย
อีกมุมที่ทำให้บ้านเหมืองกุงน่าไปคือมันตั้งอยู่ในโซนหางดง–หนองควายที่เชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวและย่านหัตถกรรมอื่น ๆ ของเชียงใหม่ได้ง่ายมาก จึงเหมาะกับการวางเป็นหนึ่งจุดในทริป “สายคราฟต์” ที่ตั้งใจเที่ยวแบบมีธีม เช่น เช้าแวะบ้านเหมืองกุงเพื่อดูงานดินและเลือกของใช้ จากนั้นไปย่านไม้แกะสลักบ้านถวายเพื่อดูงานไม้ หรือไปวัดอินทราวาส (วัดต้นเกว๋น) เพื่อซึมซับสถาปัตยกรรมล้านนาที่เรียบสงบ แล้วค่อยปิดท้ายด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงครอบครัวอย่างเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีหรืออุทยานหลวงราชพฤกษ์ ทั้งหมดอยู่ในระยะขับรถต่อกันได้แบบไม่เหนื่อยเกินไป
เราลองยกบ้านเหมืองกุงไปวางเทียบกับแหล่งปั้นดิน/แหล่งเตาเผาในเชียงใหม่ที่คนมักนึกถึง จะเห็นภาพชัดขึ้นว่าบ้านเหมืองกุงเด่นตรงไหน และคุณควรคาดหวังประสบการณ์แบบไหน อย่างแรกคือ “สันกำแพง” ที่คนจำนวนมากคุ้นในฐานะพื้นที่ของเตาเผาและเครื่องถ้วยล้านนาในภาพโบราณคดี (หลายกลุ่มเตา หลายยุคการศึกษา) มุมของสันกำแพงทำให้เราเห็นภาพงานเครื่องถ้วยในฐานะหลักฐานทางวิชาการและประวัติศาสตร์การผลิต ส่วนบ้านเหมืองกุงทำให้เราเห็นงานดินในฐานะ “ของใช้จริงในบ้านคน” และเป็นเรื่องเล่าชาติพันธุ์ของผู้ผลิตที่ฝังอยู่ในชื่อเรียกของภาชนะ อย่างที่สองคือ “เวียงท่ากาน” ที่มีชื่อด้านเครื่องถ้วยล้านนาและมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นจุดเรียนรู้ เวียงท่ากานช่วยเปิดภาพยุคสมัยและพัฒนาการของงานเครื่องถ้วยในฐานะแหล่งผลิตสำคัญ ขณะที่บ้านเหมืองกุงช่วยเปิดภาพของ “การปรับตัวของชุมชนช่าง” จากของจำเป็นสู่ของตกแต่ง/ของฝากในยุควัสดุสมัยใหม่ ถ้าสรุปแบบง่าย บ้านเหมืองกุงคือพื้นที่ที่ทำให้คุณเข้าใจว่า งานคราฟต์ไม่ใช่แค่ความสวย แต่มันเป็นเศรษฐกิจครัวเรือน เป็นทักษะข้ามรุ่น เป็นเรื่องชาติพันธุ์ และเป็นการเอาตัวรอดอย่างมีศักดิ์ศรีของช่างฝีมือ
สิ่งที่ควรทำเวลาไปเยือนคือการท่องเที่ยวแบบให้เกียรติชุมชน: ถ้าจะถ่ายภาพในพื้นที่ทำงานให้ขออนุญาตก่อน โดยเฉพาะเวลาช่างกำลังปั้น/เผา, หลีกเลี่ยงการจับชิ้นงานที่ยังไม่แห้งหรืออยู่ระหว่างการเตรียมเผา, และถ้าตั้งใจซื้อของฝาก ลองถามเรื่องวิธีดูแล เช่น งานดินเผาบางชนิดไม่ชอบการแช่น้ำเป็นเวลานาน หรือไม่เหมาะกับการเปลี่ยนอุณหภูมิฉับพลัน การคุยกันสั้น ๆ แบบนี้จะทำให้คุณได้ของที่เหมาะกับการใช้งานจริง และช่างก็รู้สึกว่าเรื่องเล่าของเขาถูก “รับฟัง” ไม่ใช่แค่ถูกซื้อไปวางเป็นพร็อพ
การเดินทาง บ้านเหมืองกุงอยู่ห่างจากตัวจังหวัดเชียงใหม่ไปตามเส้นทางถนนสายเชียงใหม่–ฮอดประมาณ 10 กิโลเมตร และห่างจากถนนสายวงแหวน (เส้นทางหลวงหมายเลข 11 โซนสนามบิน) ประมาณ 6 กิโลเมตร โดยอยู่ก่อนถึงทางแยกตัดใหม่สายหางดง–สะเมิงเพียงเล็กน้อย แนวทางที่คนใช้กันบ่อยคือขับจากตัวเมืองมุ่งหน้าหางดงตามเส้นเชียงใหม่–ฮอด/ราชพฤกษ์ พอเข้าโซนหนองควายจะเริ่มเห็นบรรยากาศชุมชนและย่านท่องเที่ยวรอบ ๆ หากไม่ชำนาญทาง แนะนำใช้แผนที่นำทางและปักหมุด “Baan Muangkung pottery handicraft บ้านเหมืองกุง” จะพาเข้าถูกจุด และในพื้นที่มีศูนย์แสดงตัวอย่างหัตถกรรมบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านตามข้อมูลที่ชุมชนเล่าไว้
| ชื่อสถานที่ | หมู่บ้านหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา บ้านเหมืองกุง (หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาเหมืองกุง) |
| ที่ตั้ง | ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ (โซนถนนเชียงใหม่–ฮอด/ราชพฤกษ์ ใกล้ย่านท่องเที่ยวหนองควาย) |
| ลักษณะเด่น | ชุมชนเครื่องปั้นดินเผาเด่นเรื่อง “น้ำต้น/คนโทใส่น้ำ” เครื่องปั้นดินเผาเนื้อดินค่อนข้างหยาบและพรุน ช่วยให้น้ำเย็นนาน งานร่วมสมัยมีสีสันและรูปทรงหลากหลาย ใช้ได้ทั้งของใช้ ของแต่งบ้าน และของฝาก |
| ช่วงเวลา/ยุคสมัย | ชุมชนช่างฝีมือร่วมสมัยที่สืบต่อภูมิปัญญาล้านนา (มีชั้นเรื่องเล่าชาติพันธุ์ไทยใหญ่ในประวัติการทำน้ำต้น) |
| หลักฐาน/ข้อมูลสำคัญ | เป็นแหล่งผลิตน้ำต้น (คนโทใส่น้ำ) ที่มีชื่อเสียง และมีการพัฒนากรรมวิธี/รูปแบบเพื่อเพิ่มคุณภาพและความร่วมสมัยของผลิตภัณฑ์ |
| ที่มาของชื่อ/เรื่องเล่า | น้ำต้นเคยถูกเรียกว่า “น้ำต้นเงี้ยว” สะท้อนรากช่างไทยใหญ่ ก่อนพัฒนาและเป็นที่รู้จักในชื่อ “น้ำต้นเชียงใหม่” และหมู่บ้านผู้ผลิตเดิมถูกเรียก “บ้านน้ำต้น” (ชื่อเดิมของบ้านเหมืองกุง) |
| วันเปิดทำการ | จันทร์–เสาร์ (อาทิตย์ปิดทำการ) (แนะนำติดต่อก่อนเดินทาง) |
| เวลาเปิดทำการ | 09.00–16.00 น. |
| วิธีการเดินทาง | จากตัวเมืองเชียงใหม่มุ่งหน้าหางดงตามเส้นเชียงใหม่–ฮอด/ราชพฤกษ์ ระยะทางโดยประมาณ 10 กม.; จากถนนวงแหวนโซนสนามบิน (ทางหลวง 11) โดยประมาณ 6 กม. แล้วเข้าพื้นที่ต.หนองควาย อ.หางดง (แนะนำเปิดแผนที่นำทางไป “Baan Muangkung pottery handicraft บ้านเหมืองกุง”) |
| สถานะปัจจุบัน | เปิดดำเนินการ (ชุมชนหัตถกรรมและแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม) แนะนำติดต่อก่อนเพื่อความชัวร์เรื่องเวลาร้าน/โซนกิจกรรม |
| เบอร์ติดต่อ | 084-389-6615 (ชุมชน/กลุ่มหัตถกรรม) | 089-552-7082 (พิพิธภัณฑ์/ศูนย์การเรียนรู้ตามฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ชุมชน) | 053-125-070 (พิพิธภัณฑ์/เวียงท่ากาน–ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ชุมชน) |
| สิ่งอำนวยความสะดวก | ลาน/จุดจอดรถตามสภาพพื้นที่ชุมชน, ร้าน/โซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์, จุดเรียนรู้/ตัวอย่างงานหัตถกรรม (รายละเอียดอาจต่างกันตามโซนและช่วงเวลา) |
| ค่าบริการ | ไม่ระบุเป็นมาตรฐาน (โดยทั่วไปเข้าชมชุมชนได้ แต่กิจกรรม/เวิร์กช็อปหรือการสั่งทำอาจมีค่าใช้จ่ายตามเงื่อนไข) แนะนำสอบถามก่อนเข้าร่วมกิจกรรม |
| ที่เที่ยวใกล้เคียง (ระยะทางโดยประมาณ) | วัดอินทราวาส (วัดต้นเกว๋น) – 4 กม. – โทร 053-248-604 (หรือ 053-248-607) เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี – 6 กม. – โทร 053-999-000 อุทยานหลวงราชพฤกษ์ – 7 กม. – โทร 053-114110-2 ศูนย์ข้อมูลการค้าและการท่องเที่ยวบ้านถวาย – 5 กม. – โทร 081-882-4882 พิพิธภัณฑ์เวียงท่ากาน (สันป่าตอง) – 18 กม. – โทร 053-481-176, 099-522-2650 |
| ร้านอาหารยอดนิยมใกล้เคียง (ระยะทางโดยประมาณ) | ข้าวเม่า–ข้าวฟ่าง (Khaomao-Khaofang) – 5 กม. – โทร 053-838-444, 063-665-5838 ชาไทย, ชาเขียว By HAUS (เฮาส์@เหมืองกุง) – 1 กม. – โทร 082-659-8744 Seichi Yakiniku (สาขาหางดง) – 6 กม. – โทร 083-252-9269 Kneads to Dough – 7 กม. – โทร 093-313-7780 MOOH House หางดง – 8 กม. – โทร 053-936-000 |
| ที่พักยอดนิยมใกล้เคียง (ระยะทางโดยประมาณ) | North Hill City Resort / North Hill Golf Club – 9 กม. – โทร 053-908-999 Veranda High Resort Chiang Mai – 18 กม. – โทร 053-365-007 Lanna Resort and Spa (หางดง–สะเมิง) – 19 กม. – โทร 053-365-222 Kantary Hills Hotel, Chiang Mai – 16 กม. – โทร 053-222-111, 053-400-877 Thantara Resort Chiang Mai (สันกำแพง) – 26 กม. – โทร 053-215-008 |
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ถาม: บ้านเหมืองกุงเด่นเรื่องอะไรที่สุด?
ตอบ: เด่นเรื่อง “น้ำต้น” หรือคนโทใส่น้ำของล้านนา ที่ช่วยให้น้ำเย็นนานจากคุณสมบัติของเนื้อดินเผา และเป็นสินค้าขึ้นชื่อของชุมชนมานาน
ถาม: ทำไมน้ำต้นดินเผาถึงช่วยให้น้ำเย็น?
ตอบ: เพราะภาชนะดินเผาเนื้อค่อนข้างหยาบและมีรูพรุน ทำให้เกิดการถ่ายเทความร้อนบางส่วนและช่วยรักษาความเย็นของน้ำด้านในได้ดี จึงเป็นภูมิปัญญาการเก็บน้ำดื่มแบบดั้งเดิม
ถาม: ไปเที่ยวบ้านเหมืองกุงควรเผื่อเวลากี่ชั่วโมง?
ตอบ: ถ้าแวะชมและเลือกซื้อของฝากแบบสบาย ๆ แนะนำเผื่อ 1–2 ชั่วโมง แต่ถ้าตั้งใจดูงานละเอียดหรือคุยกับช่าง/ทำกิจกรรม อาจเผื่อ 2–3 ชั่วโมงเพื่อไม่ต้องรีบ
ถาม: บ้านเหมืองกุงเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ไทยใหญ่จริงไหม?
ตอบ: ในเรื่องเล่าท้องถิ่น น้ำต้นเคยถูกเรียกว่า “น้ำต้นเงี้ยว” เพราะผู้ทำในอดีตเป็นชาวเงี้ยวหรือไทยใหญ่ที่อพยพเข้ามา ก่อนพัฒนาและเป็นที่รู้จักในชื่อ “น้ำต้นเชียงใหม่” เมื่อเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมในพื้นที่
ถาม: ถ้าอยากเที่ยวสายเครื่องปั้นดินเผาในเชียงใหม่ ควรไปที่ไหนเพิ่ม?
ตอบ: แนะนำเพิ่ม “พิพิธภัณฑ์เวียงท่ากาน” เพื่อมุมเรียนรู้เชิงโบราณคดี/เครื่องถ้วยล้านนา และถ้าสนใจภาพรวมเตาเผา–เครื่องถ้วยในเชียงใหม่ในเชิงวิชาการ ลองศึกษามุมสันกำแพงซึ่งมีการกล่าวถึงแหล่งเตาเผาหลายกลุ่มในงานเผยแพร่ด้านวัฒนธรรม/โบราณคดี
ถาม: ไปซื้อเครื่องปั้นดินเผาแล้วดูแลยังไงให้ใช้ได้นาน?
ตอบ: ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนอุณหภูมิแบบฉับพลัน (เช่น ราดน้ำร้อนจัดลงภาชนะที่เย็นมาก) และสอบถามช่างก่อนใช้งานกับอาหาร/เครื่องดื่มบางประเภท รวมถึงวิธีทำความสะอาดที่เหมาะกับผิวดินเผาแต่ละแบบ
แสดงความเห็น
| คำค้น (ขั้นสูง) |
ภูมิภาค
|







หมวดหมู่:
กลุ่ม: