พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์

Rating: 2.8/5 (26 votes)
สถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
วันเปิดทำการ: ทุกวัน (เฉพาะช่วงที่ไม่มีการเสด็จแปรพระราชฐาน ตามประกาศของสำนักพระราชวัง)
เวลาเปิดทำการ: 08.30–16.30 น. (เวลาจำหน่ายบัตรโดยทั่วไปอยู่ในช่วง 08.30–11.30 น. และ 13.00–15.30 น. ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดก่อนเดินทาง)
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ คือหนึ่งในสถานที่ที่ผูกความทรงจำของคนไทยจำนวนมากกับจังหวัดเชียงใหม่และดอยสุเทพอย่างแนบแน่น แทบทุกคนที่เคยเที่ยวดอยสุเทพมักได้ยินชื่อนี้ผ่านหูอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพราะพระตำหนักตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ใช้เส้นทางเดียวกับวัดพระธาตุดอยสุเทพ เพียงขับรถเลยวัดขึ้นไปอีกราว 4 กิโลเมตร ก็จะถึงเขตรั้วพระตำหนักที่โอบล้อมด้วยแนวสนและต้นไม้เมืองหนาว เมื่อมองย้อนลงไปด้านล่างจะเห็นตัวเมืองเชียงใหม่ทอดตัวอยู่ท่ามกลางภูเขา เป็นภาพที่ทำให้เข้าใจทันทีว่าทำไมพื้นที่แห่งนี้จึงถูกเลือกให้เป็นพระราชฐานบนดอยของพระมหากษัตริย์ไทยในยุคใหม่
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ในสมัยที่เชียงใหม่ยังไม่พลุกพล่านด้วยนักท่องเที่ยวเท่าวันนี้ บริเวณดอยสุเทพ–ดอยปุยยังมีบรรยากาศของเมืองเหนือที่สงบเย็นอย่างชัดเจน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชประสงค์ให้มีสถานที่ประทับบนภูเขา เพื่อใช้เป็นที่ทรงงานในยามเสด็จฯ แปรพระราชฐานขึ้นมาเยี่ยมราษฎรในภาคเหนือ และใช้รับรองพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศที่เสด็จฯ มาเยือนไทย ซึ่งโดยปกติแล้วจะประทับรับรองกันเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น การมีพระตำหนักประจำภาคเหนือจึงสะท้อนพระราชวิสัยทัศน์ทั้งด้านการพัฒนาและด้านการทูตในเวลาเดียวกัน
พระตำหนักองค์ประธานได้รับพระราชทานนามว่า “ภูพิงคราชนิเวศน์” โดยชื่อดังกล่าวเป็นหนึ่งในสองชื่อที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งวัดบวรนิเวศวิหารทรงถวายเป็นนามเลือก ระหว่าง “พิงคัมพร” และ “ภูพิงคราชนิเวศน์” ท้ายที่สุดจึงทรงเลือกชื่อที่พ้องกับคำว่า “พิงค์” หรือ “เวียงพิงค์” อันเป็นนามเก่าของเชียงใหม่ เชื่อมโยงสถานที่ประทับกับอัตลักษณ์ของเมืองอย่างงดงาม พระตำหนักแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงบ้านพักบนดอย แต่เป็นเสมือน “ราชนิเวศน์ของเมืองพิงค์” อย่างแท้จริง
ในเชิงสถาปัตยกรรม พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์จัดผังเป็น “เรือนหมู่” แบบไทยภาคกลางที่ถูกปรับให้เข้ากับภูมิอากาศบนดอยและการใช้สอยร่วมสมัย ลักษณะอาคารเป็นแบบไทยประเพณีประยุกต์ ก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง มุงหลังคาทรงไทย ภายในประกอบด้วยท้องพระโรง ห้องเสวย ห้องบรรทม ห้องสรง และพื้นที่สำหรับรับรองพระราชอาคันตุกะ รายละเอียดของตัวอาคารได้รับการออกแบบโดยหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร สถาปนิกพิเศษของกรมศิลปากร ส่วนรูปด้านและการตกแต่งภายในอยู่ในความรับผิดชอบของหม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี โดยออกแบบให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นไทย แต่แฝงความสะดวกแบบสากล เหมาะสำหรับการใช้รับรองผู้นำประเทศและพระราชวงศ์จากทั่วโลก
เบื้องหลังการก่อสร้างพระตำหนักก็มีความน่าสนใจไม่น้อย พระตำหนักองค์หลักใช้เวลาก่อสร้างเพียงประมาณ 5 เดือนจึงแล้วเสร็จ นับเป็นโครงการที่เดินงานอย่างรวดเร็วโดยมีทีมสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำจากกรมศิลปากรร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด หลังเสร็จสิ้นจึงมีการตกแต่งภายในให้เรียบร้อยก่อนจะใช้เป็นที่ประทับและรับรองแขกบ้านแขกเมืองเต็มรูปแบบ นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์จึงเป็นทั้งสถานที่ทรงงาน แหล่งต้อนรับพระราชอาคันตุกะ และกลายเป็นหมุดหมายสำคัญบนเส้นทางท่องเที่ยวดอยสุเทพที่ผู้คนคุ้นเคย
เมื่อเดินลัดเลาะไปตามทางลาดคอนกรีตภายใน จะพบว่าเขตพระตำหนักประกอบด้วยอาคารและพื้นที่ย่อยหลายส่วนเรียงตัวบนเนินสูงต่ำต่างระดับกัน ไล่ตั้งแต่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์องค์หลัก เรือนปีกไม้ที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ ไปจนถึงเรือนรับรองที่ใช้พำนักของพระราชอาคันตุกะและข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ ส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือพระตำหนักพฤกษาวิสุทธิคุณ อาคาร 2 ชั้นบนเนินสูงที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยภาคกลางกับล้านนา เป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ขณะเดียวกัน พระตำหนักยูคาลิปตัส 1 และ 2 ก็มีที่มาน่าศึกษา เพราะสร้างตามพระราชดำริให้ทดลองใช้ไม้เติบโตเร็วอย่างยูคาลิปตัสมาสร้างที่พักแบบ Log Cabin เพื่อลดการพึ่งพาไม้สักในประเทศ เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ของการออกแบบที่คิดเผื่อทรัพยากรป่าไม้ในระยะยาว อาคารเหล่านี้จึงไม่ได้เป็นเพียงที่ประทับ หากยังเป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและการทดลองสิ่งใหม่ ๆ ในเชิงเศรษฐกิจป่าไม้ของไทย
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่แทบทุกคนพูดถึงเมื่อเอ่ยถึงพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์คือบรรดาสวนดอกไม้ โดยเฉพาะสวนกุหลาบ “สวนสุวรี” ที่ตั้งชื่อตามท่านผู้หญิงสุวรี เทพาคำ อดีตนางสนองพระโอษฐ์ บริเวณนี้รวบรวมกุหลาบหลากสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์ไทยและพันธุ์เมืองหนาว เมื่อถึงฤดูหนาวช่วงปลายปี ดอกกุหลาบจะออกเต็มแปลง สีชมพู แดง ขาว เหลือง สลับกันอย่างสวยงาม นอกจากกุหลาบแล้วยังมีไม้ดอกเมืองหนาวอื่น ๆ เช่น บีโกเนีย ฟูเชีย และดอกไม้ตามฤดูกาลที่สลับปลูกให้ทันสมัยอยู่เสมอ จึงกลายเป็นมุมยอดฮิตสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพและชมสวนในบรรยากาศอากาศเย็นสบายบนยอดดอย
บริเวณอ่างเก็บน้ำขนาดกลางภายในพระตำหนักก็เป็นอีกจุดที่ไม่ควรพลาด น้ำในอ่างถูกใช้หล่อเลี้ยงสวนทั้งพื้นที่ และริมอ่างมีพลับพลาประทับที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายกลมกลืนไปกับทิวทัศน์รอบด้าน ในวันที่อากาศโปร่ง แสงแดดอ่อน ๆ จะสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย ทิวสนและแนวต้นไม้เมืองหนาวล้อมรอบ ช่วยขับให้พื้นที่ดูนิ่ง สงบ และเหมาะกับการใช้เวลาช้า ๆ อย่างมาก นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยมักเลือกนั่งพักที่มุมนี้เพื่อสูดอากาศเย็นและเก็บภาพบรรยากาศกลับไป
แม้พระตำหนักจะสวยและร่มรื่นเพียงใด สิ่งหนึ่งที่ผู้มาเยือนต้องคำนึงถึงเสมอคือมารยาทและการแต่งกาย เนื่องจากที่นี่เป็นเขตพระราชฐานและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กฎการแต่งกายจึงค่อนข้างเคร่งครัด ผู้เข้าชมควรสวมเสื้อที่ไม่รัดรูป ไม่เว้าคอ ไม่แขนกุด และกางเกงหรือกระโปรงต้องยาวคลุมเข่า หลีกเลี่ยงกางเกงขาสั้นหรือกางเกงยีนส์ขาด ๆ รวมถึงเสื้อสายเดี่ยวและเกาะอก ในบางช่วงอาจมีบริการผ้าถุงหรือผ้าคลุมให้เช่าหรือยืม แต่เพื่อความสะดวกควรเตรียมชุดสุภาพไปตั้งแต่ต้น การรักษากิริยาสุภาพ ไม่ส่งเสียงดัง และไม่เดินล้ำเขตที่ปิดกั้นไว้ ถือเป็นการให้เกียรติสถานที่และผู้ดูแลในเวลาเดียวกัน
เสน่ห์ของพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ไม่ได้มีเพียงตัวอาคารและสวน หากยังรวมถึงบรรยากาศบนเส้นทางขึ้นดอยด้วย ตั้งแต่เชิงดอยบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไล่ขึ้นมาตามโค้งถนนสายดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวจะค่อย ๆ ทิ้งความวุ่นวายของตัวเมืองไว้ด้านล่าง ผ่านจุดชมวิว วัดพระธาตุดอยสุเทพ และหมู่บ้านต่าง ๆ บางวันอากาศเย็นจัดจนเห็นหมอกลอยบาง ๆ ปกคลุมยอดไม้ บางวันเป็นแดดใสสบาย เหมาะกับการเดินเล่นชมสวน เรียกได้ว่าเพียงแค่ระหว่างทางก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เที่ยวพระตำหนักไปแล้ว
ในเชิงประวัติศาสตร์การท่องเที่ยว พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ดอยสุเทพ–ดอยปยูกลายเป็นเส้นทางยอดนิยมของทั้งคนไทยและต่างชาติ หลายคนจัดโปรแกรมแบบครึ่งวันหรือหนึ่งวัน เริ่มจากไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ขึ้นต่อไปชมสวนและบรรยากาศที่พระตำหนัก จากนั้นขับรถต่อไปหมู่บ้านม้งดอยปุย หรือเลยไปยังจุดชมวิวในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ–ปุย เมื่อพระตำหนักปิดปรับปรุงชั่วคราวในช่วงหลายปีก่อน นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหมือนขาดตอนของทริปดอยสุเทพไปหนึ่งช่วง ก่อนที่การเปิดให้เข้าชมบริเวณภายนอกอีกครั้งจะทำให้เส้นทางดอยสุเทพกลับมาสมบูรณ์ในสายตาของคนรักเชียงใหม่
บรรยากาศการเดินเที่ยวภายในพระตำหนักจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ช่วงฤดูหนาวปลายปีถึงต้นปี อากาศจะเย็นใส เหมาะกับการเดินชมสวนและถ่ายรูปดอกไม้ ส่วนปลายฝน–ต้นหนาว สีเขียวของต้นไม้และสนามหญ้าจะสดชื่นเป็นพิเศษ ถึงแม้อาจมีฝนโปรยบ้าง แต่ก็แลกมากับหมอกบาง ๆ และกลิ่นดินชุ่มชื้นที่ช่วยให้การเดินเล่นรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ช่วงหน้าร้อน แม้อากาศบนดอยจะร้อนน้อยกว่าด้านล่าง แต่แนะนำให้ไปช่วงเช้าหรือบ่ายแก่ ๆ จะเดินสบายกว่าและแสงไม่แรงจนเกินไป
ในเชิงประสบการณ์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์จึงไม่ใช่เพียงจุดเช็กอินดอกไม้สวย ๆ แต่เป็นพื้นที่ที่ทำให้เห็นหลายมิติผสานกัน ทั้งพระราชประวัติ สถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า การรับรองแขกต่างชาติในมิติการทูต และบทบาทของเชียงใหม่ในฐานะเมืองสำคัญของภาคเหนือ เมื่อเดินชมรอบพื้นที่แล้วลองมองย้อนกลับไปยังตัวเมืองด้านล่าง หลายคนมักเกิดคำถามกับตัวเองว่าเราอยากให้เมืองและธรรมชาติรอบตัวเดินหน้าไปในทิศทางไหน การมาเยือนพระตำหนักจึงไม่ใช่แค่การมาเที่ยวสวนบนดอย แต่เป็นการหยุดดูความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนัก เมือง และผู้คนผ่านพื้นที่หนึ่งผืนอย่างเงียบ ๆ
สำหรับนักท่องเที่ยว หากวางแผนให้ดี การมาเที่ยวพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์สามารถผูกเข้ากับโปรแกรมเที่ยวเชียงใหม่ได้อย่างยืดหยุ่น ทั้งในรูปแบบขึ้นดอยเช้าไป–เย็นกลับ หรือพักย่านนิมมานเหมินทร์และถนนห้วยแก้ว แล้วค่อยขับรถหรือเหมารถขึ้นมาในวันถัดไป ระหว่างทางมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ และจุดชมวิวให้แวะพักหลายแห่ง ส่วนใครที่อยากใช้เวลานานขึ้น ก็สามารถต่อโปรแกรมไปยังหมู่บ้านม้งดอยปุยหรือจุดชมวิวในอุทยาน แล้วกลับลงมาแวะทานอาหารเย็นในตัวเมือง ถือเป็นหนึ่งในทริปคลาสสิกของคนรักเชียงใหม่ที่ไม่ควรพลาด
ท้ายที่สุด พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ยังคงทำหน้าที่เดิมตั้งแต่วันแรกที่สร้างขึ้น นั่นคือเป็นบ้านบนดอยของสถาบันพระมหากษัตริย์ และในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้ขึ้นมาเดินชม เรียนรู้ และรับอากาศเย็น ๆ ท่ามกลางดอกไม้และต้นไม้เมืองหนาว ทุกครั้งที่มีการเปิดให้เข้าชม จึงเหมือนการเชื้อเชิญให้คนรุ่นใหม่ได้มาทบทวนความสัมพันธ์ของตนเองกับเมืองพิงค์ กับภูเขาสูง และกับเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของไทยไปพร้อมกัน
การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ให้ใช้ถนนห้วยแก้วผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มุ่งหน้าไปยังเชิงดอยสุเทพ จากนั้นเลี้ยวขึ้นถนนสายขึ้นดอยไปตามทางเดียวกับวัดพระธาตุดอยสุเทพ ระยะทางจากตัวเมืองถึงเชิงดอยประมาณ 10–12 กิโลเมตร และจากวัดพระธาตุดอยสุเทพขึ้นไปยังพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์อีกประมาณ 4 กิโลเมตร ถนนเป็นทางลาดยางคดเคี้ยวตามไหล่เขา ควรขับด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน นักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถส่วนตัวสามารถใช้บริการรถสองแถวดอยสุเทพจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เหมารถให้แวะทั้งวัดพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนัก และหมู่บ้านม้งดอยปุยในทริปเดียวตามการตกลงกับผู้ขับรถได้
| ชื่อสถานที่ | พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ (Bhuping Rajanives Palace) |
| ที่ตั้ง | ดอยบวกห้า ใช้เส้นทางเดียวกับวัดพระธาตุดอยสุเทพ เลยจากวัดพระธาตุดอยสุเทพขึ้นไปประมาณ 4 กิโลเมตร ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ |
| ลักษณะเด่น | พระราชวังบนดอยที่ใช้เป็นที่ประทับและทรงงานเมื่อเสด็จแปรพระราชฐานมายังภาคเหนือ สถาปัตยกรรมไทยประเพณีประยุกต์แบบเรือนหมู่ รายล้อมด้วยสวนไม้ดอกเมืองหนาว อ่างเก็บน้ำ และสวนกุหลาบ “สวนสุวรี” อันมีชื่อเสียง |
| ยุคสมัย / ความเป็นมา | เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2504 เพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และใช้รับรองพระราชอาคันตุกะ ตลอดจนเป็นฐานทรงงานเมื่อเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในภาคเหนือ ต่อมาได้มีการก่อสร้างพระตำหนักและอาคารอื่นเพิ่มเติม เช่น พระตำหนักพฤกษาวิสุทธิคุณ พระตำหนักยูคาลิปตัส และเรือนรับรองต่าง ๆ |
| หลักฐานสำคัญ / สิ่งที่น่าสังเกต | อาคารพระตำหนักหลักแบบไทยประเพณีประยุกต์ เรือนปีกไม้ พระตำหนักพฤกษาวิสุทธิคุณ พระตำหนักยูคาลิปตัส 1 และ 2 พลับพลาผาหมอน อ่างเก็บน้ำ และสวนดอกไม้เมืองหนาว โดยเฉพาะสวนกุหลาบที่จัดปลูกอย่างเป็นระเบียบให้ชมได้ตามฤดูกาล |
| ที่มาของชื่อ | พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามจากชื่อที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงถวาย โดยเลือกชื่อ “ภูพิงคราชนิเวศน์” เพื่อเชื่อมโยงกับชื่อเก่า “เวียงพิงค์” ของเมืองเชียงใหม่ |
| วันเปิดทำการ | เปิดให้เข้าชมทุกวัน เฉพาะช่วงที่ไม่มีการเสด็จแปรพระราชฐาน (โดยปกติงดเข้าชมราวเดือนมกราคม–ต้นเดือนมีนาคมของทุกปี ตามประกาศสำนักพระราชวัง) |
| เวลาเปิดทำการ | ประมาณ 08.30–16.30 น. (เวลาจำหน่ายบัตรเข้าเยี่ยมชมโดยมากอยู่ในช่วง 08.30–11.30 น. และ 13.00–15.30 น. ควรตรวจสอบประกาศล่าสุดก่อนเดินทาง) |
| ค่าเข้าชม | คนไทยผู้ใหญ่ 20 บาท, เด็ก/นักเรียน 10 บาท, ชาวต่างชาติ 50 บาท (อัตราอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากสำนักพระราชวังหรือ ททท.) |
| การเดินทาง | จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ถนนห้วยแก้วผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถึงเชิงดอยสุเทพ แล้วขับตามทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ จากวัดให้ขับเลยขึ้นไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร จะถึงทางเข้าพระตำหนัก มีลานจอดรถและจุดบริการรถรับ–ส่งภายในในบางช่วงฤดูกาล สามารถใช้ทั้งรถส่วนตัว รถเช่า หรือเหมารถสองแถวดอยสุเทพจากตัวเมือง |
| สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง พร้อมระยะทาง (โดยประมาณ) | - วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ประมาณ 4 กม. ต่ำลงไปทางตัวเมือง - หมู่บ้านม้งดอยปุย ประมาณ 5–7 กม. จากพระตำหนักขึ้นไปทางดอยปุย - จุดชมวิวในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ–ปุย (หลายจุดภายในระยะ 3–10 กม.) - มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และประตูทางขึ้นดอยสุเทพ ประมาณ 12 กม. จากพระตำหนัก - ย่านนิมมานเหมินทร์–ถนนห้วยแก้ว ประมาณ 15 กม. จากพระตำหนัก |
| ร้านอาหารแนะนำใกล้เคียง (ระยะทาง & เบอร์โทร) | - ครัวนครสวรรค์ (บริเวณลานจอดรถใกล้ทางเข้าพระตำหนัก) ระยะทางประมาณ 0.2 กม. โทร. 081-021-5044 - ร้านอาหารและเครื่องดื่มภายในบริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ (ระยะทาง 1–4 กม. มีหลายร้านให้เลือกตามความสะดวก) - ร้านอาหารและคาเฟ่ย่านหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่–นิมมานเหมินทร์ (ระยะทาง 10–15 กม. จากพระตำหนัก เลือกร้านตามรีวิวและรสนิยม) |
| ที่พักแนะนำใกล้เคียง (ระยะทาง & เบอร์โทร) | - โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ 2000 ถนนห้วยแก้ว ใกล้ทางขึ้นดอยสุเทพ ระยะทางประมาณ 12–15 กม. จากพระตำหนัก โทร. 053-218-960 - โรงแรมเชียงใหม่ออร์คิด ย่านห้วยแก้ว–นิมมานฯ ระยะทางประมาณ 12–15 กม. จากพระตำหนัก (ตรวจสอบเบอร์ติดต่อจากเว็บไซต์โรงแรมหรือผู้ให้บริการล่าสุด) - ที่พักและเกสต์เฮาส์ย่านนิมมานเหมินทร์และตัวเมืองเชียงใหม่จำนวนมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวแบบเช้าไป–เย็นกลับ (เลือกจากแพลตฟอร์มจองที่พักและรีวิวล่าสุด) |
| สิ่งอำนวยความสะดวก | ลานจอดรถ ห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว ทางเดินชมสวน ลานชมวิว จุดนั่งพักผ่อน และบริการรถรับ–ส่งภายในบริเวณ (ในบางช่วงฤดูกาล) พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยและการจัดระเบียบการเข้าชม |
| ติดต่อ | สอบถามข้อมูลการเข้าชมและประกาศปิด–เปิดล่าสุดได้ที่สำนักพระราชวัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หรือศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว เช่น หมายเลข 1672 Travel Buddy ของ ททท. |
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ถาม: พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ตอนนี้เปิดให้เข้าชมหรือยัง?
ตอบ: ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมบริเวณสวนและพื้นที่ภายนอกอาคาร ในช่วงที่ไม่มีการเสด็จแปรพระราชฐาน โดยทั่วไปจะเปิดทุกวัน แต่จะงดเข้าชมช่วงที่มีการประทับแรม มักอยู่ในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคมของทุกปี ก่อนเดินทางควรตรวจสอบประกาศล่าสุดจากสำนักพระราชวังหรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกครั้ง
ถาม: เวลาเปิด–ปิด และเวลาจำหน่ายบัตรเข้าชมเป็นอย่างไร?
ตอบ: โดยทั่วไปเปิดให้เข้าชมช่วงประมาณ 08.30–16.30 น. ส่วนเวลาจำหน่ายบัตรมักอยู่ในช่วง 08.30–11.30 น. และ 13.00–15.30 น. แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามประกาศ ณ ขณะนั้น ควรเผื่อเวลาเข้าคิวและตรวจเอกสารก่อนเดินทางขึ้นดอย
ถาม: ต้องแต่งกายอย่างไรจึงจะเข้าเยี่ยมชมพระตำหนักได้?
ตอบ: ควรแต่งกายสุภาพ ผู้หญิงควรใส่กระโปรงหรือกางเกงขายาวคลุมเข่า ไม่ใส่เสื้อกล้าม สายเดี่ยว เกาะอก หรือเสื้อรัดรูป ผู้ชายควรหลีกเลี่ยงกางเกงขาสั้นเหนือเข่ามาก ๆ และเสื้อแขนกุด รองเท้าควรมิดชิด หากแต่งกายไม่เหมาะสมอาจต้องเช่าหรือยืมผ้าถุงหรือผ้าคลุมเพิ่มเติมก่อนเข้าพื้นที่
ถาม: ค่าเข้าชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์แพงไหม?
ตอบ: อัตราค่าเข้าชมสำหรับคนไทยถือว่ามิตรภาพ โดยทั่วไปคนไทยผู้ใหญ่ 20 บาท เด็กหรือนักเรียน 10 บาท ส่วนชาวต่างชาติ 50 บาท อย่างไรก็ตาม อัตราอาจปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต จึงควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดก่อนเดินทางทุกครั้ง
ถาม: ถ้าไม่มีรถส่วนตัวจะขึ้นไปพระตำหนักภูพิงฯ ได้หรือไม่?
ตอบ: สามารถขึ้นได้ โดยนิยมใช้บริการรถสองแถวที่วิ่งเส้นทางดอยสุเทพ–ดอยปุย ซึ่งมักจอดรอผู้โดยสารบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่หรือเชิงดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวสามารถตกลงค่าโดยสารกับคนขับล่วงหน้า และอาจเหมารถให้พาแวะวัดพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนัก และหมู่บ้านม้งดอยปุยในทริปเดียวกันก็ได้
ถาม: ช่วงไหนของปีที่เหมาะกับการชมสวนดอกไม้ในพระตำหนักมากที่สุด?
ตอบ: ช่วงปลายฤดูฝนถึงฤดูหนาวและต้นปี (ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์) มักเป็นช่วงที่ดอกไม้เมืองหนาว โดยเฉพาะกุหลาบในสวนสุวรีบานสวยที่สุด อากาศเย็นสบายและท้องฟ้ามักโปร่ง แต่ควรตรวจสอบวันงดเข้าชมช่วงเสด็จแปรพระราชฐานก่อนวางแผนทริป
ถาม: ใช้เวลาเที่ยวพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ประมาณกี่ชั่วโมงจึงจะเดินชมได้ทั่ว?
ตอบ: หากต้องการเดินชมสวนหลัก ๆ ถ่ายภาพ และแวะนั่งพักบริเวณอ่างเก็บน้ำ ใช้เวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมงก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องการเดินชมรายละเอียดหลายจุด หรือถ่ายภาพอย่างจุใจ อาจเผื่อเวลา 2–3 ชั่วโมง โดยมักจัดรวมในโปรแกรมเที่ยวดอยสุเทพ–ดอยปุยภายใน 1 วัน
ถาม: สามารถถ่ายรูปได้ทุกจุดหรือไม่?
ตอบ: โดยทั่วไปสามารถถ่ายภาพในบริเวณสวน ทางเดิน และจุดชมวิวได้ แต่ควรเคารพกติกา ห้ามปีนป่ายรั้วหรือขึ้นไปบนพื้นที่ที่ไม่อนุญาต และหลีกเลี่ยงการก่อความวุ่นวายหรือรบกวนผู้เข้าชมคนอื่น หากมีป้ายห้ามถ่ายภาพหรือเขตหวงห้ามควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
แสดงความเห็น
| คำค้น (ขั้นสูง) |
Facebook Fanpage







หมวดหมู่:
กลุ่ม:
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และอนุสาวรีย์(
แลนด์มาร์ก และอนุสรณ์สถาน(
ศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี(
พิพิธภัณฑ์(
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวิชาการ
พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา(
ไร่ สวนเพื่อการศึกษา(
ศูนย์ฝึกอบรม(
มหาวิทยาลัย
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
วัด(
มัสยิด(
สถานที่เกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ(
โครงการในพระราชดำริ
โครงการหลวง(
วิถีชีวิต
หมู่บ้าน ชุมชน(
ตลาดท้องถิ่น(
ธรรมชาติ และสัตว์ป่า
อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตอนุรักษ์ทางทะเล(
ดอย และภูเขา(
เขื่อน พื้นที่อนุรักษ์ ทะเลสาบ(
น้ำตก(
น้ำพุร้อน(
ถ้ำ(
แม่น้ำลำคลอง(
แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ(
บันเทิง และท่องเที่ยวเชิงเกษตร
สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ(
แคมป์สัตว์ และการแสดงสัตว์(
สนามกีฬา(
ฟาร์ม, ไร่, สวน, สวนสาธารณะ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ(
สวนน้ำ(
โรงละคร(
กิจกรรมกลางแจ้ง และกิจกรรมผจญภัย(
ช้อปปิ้ง
ช้อปปิ้ง และตลาดกลางคืน(
ร้านอาหาร
มิชลินสตาร์(
มิชลิน ไกด์(
หมายเลขโทรศัพท์สำคัญในการท่องเที่ยว
หมายเลขโทรศัพท์สำคัญในการท่องเที่ยว(
บทความท่องเที่ยว, สูตรอาหาร
รีวิวท่องเที่ยว, รีวิวอาหาร(
เมนูอาหารเหนือ, สูตรอาหารเหนือ(
ขนมไทยภาคเหนือ, สูตรอาหารเหนือ(