
วัดคาทอลิกหัวไผ่

Rating: 3.3/5 (10 votes)




สถานที่ท่องเที่ยวชลบุรี
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
วัดคาทอลิกหัวไผ่ หรือโบสถ์คาทอลิกนักบุญฟิลิปและยากอบ ตั้งอยู่เลขที่ 70 บ้านหัวไผ่ ตำบลโคกขี้หนอน อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขตมิสซังจันทบุรี มีพื้นที่ในปกครองกว่า 13,000 ไร่ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่โล่งเตียนและเต็มไปด้วยสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่าดุร้าย สถานที่แห่งนี้ถูกบุกเบิกโดยคุณพ่อมาธือแรง ฟรองซัวส์ มารี เกโก ในปี พ.ศ. 2415 โดยมีครูสอนศาสนาชาวจีนเพียงไม่กี่คนร่วมด้วย ท่านได้เริ่มรวบรวมผู้คนให้มาตั้งถิ่นฐาน ทำการเพาะปลูก และสร้างชุมชนคริสต์ขึ้นในพื้นที่รกร้างนี้ พร้อมสร้างโบสถ์เล็ก ๆ สำหรับประกอบพิธีกรรมและเก็บของ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นโบสถ์ถาวรหลังแรกในปี พ.ศ. 2423 และถวายแด่นักบุญฟิลิปและยากอบ
โบสถ์หลังแรกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2422 มีลักษณะเป็นบ้านไม้สองชั้น หลังคาทรงปั้นหยา ตกแต่งด้วยดอกบัวบนหลังคาจำนวน 6 ดอก ผนังทำจากไม้ไผ่ฉาบปูน ชั้นล่างใช้สำหรับเก็บสัตว์เลี้ยง เช่น วัวและควาย ส่วนชั้นบนใช้ประกอบพิธีกรรม การก่อสร้างดำเนินการโดยหมอมาก อดีตทาสที่บาทหลวงเกโกไถ่ตัวมา เนื่องจากมีความสามารถด้านการก่อสร้าง รอบ ๆ โบสถ์ในยุคนั้นยังคงเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือ ช้าง ควายป่า หมูป่า กวาง ละมั่ง จระเข้ และงูพิษ ชาวบ้านต้องพกปืนสำหรับป้องกันตัวและไล่ช้างที่มักมาเป็นฝูง นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในบริเวณวัด โดยใช้ภาษาละตินเป็นสื่อกลางการสอน โบสถ์หลังแรกนี้ถูกใช้งานมานานกว่า 49 ปี ก่อนจะถูกรื้อถอนเพื่อสร้างโบสถ์หลังที่ 2 ในสมัยบาทหลวงยาโกเบ แจง เกิดสว่าง ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นมุขนายกท่านแรกของมิสซังจันทบุรี ปัจจุบันพื้นที่เดิมของโบสถ์หลังแรกได้ถูกถมดินและสร้างเป็นถ้ำแม่พระประจักษ์ที่ลูร์ดแทน
โบสถ์หลังที่สองถูกสร้างขึ้นโดยบาทหลวงยาโกเบ แจง เกิดสว่าง หลังจากเห็นว่าโบสถ์เดิมชำรุดทรุดโทรม จึงได้ส่งคำร้องไปยังพระคุณเจ้าเรอเน แปร์รอส เพื่อขออนุญาตสร้างโบสถ์ใหม่จนได้รับการอนุมัติ โบสถ์หลังใหม่นี้มีลักษณะเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวประมาณ 8-10 ห้อง มีเสาร่วมรับโครงสร้างหลังคา ภายในแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนโถงทางเข้าและส่วนสำหรับประกอบพิธีกรรม ด้านหน้าพระแท่นมีแท่นบูชาและที่นั่งประธาน พร้อมตู้เก็บศีลมหาสนิท ส่วนพื้นที่สำหรับสัตบุรุษถูกจัดแยกเป็นฝั่งซ้ายสำหรับสตรีและฝั่งขวาสำหรับบุรุษ โบสถ์นี้มีประตูทางเข้าด้านหน้า 3 ประตูและช่องหน้าต่างสำหรับระบายอากาศและแสงสว่าง โบสถ์หลังนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นสถานที่จัดพิธีอภิเษกบาทหลวงยาโกเบ แจง เกิดสว่าง ให้เป็นมุขนายกไทยคนแรก เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 และยังเคยเป็นที่ตั้งสำนักมิสซังแห่งแรก ก่อนจะย้ายไปที่อำเภอศรีราชาในภายหลัง ปัจจุบันอาคารหลังนี้ได้ถูกปรับใช้เป็นอาคารสงบสำหรับสัตบุรุษ
ต่อมาในยุคของบาทหลวงเอวเยน บุญชู ระงับพิศม์ ได้มีการสร้างโบสถ์หลังที่สามขึ้น เนื่องจากโบสถ์หลังที่สองชำรุดจากการใช้งานและผลกระทบจากสงคราม โบสถ์หลังที่สามนี้มีขนาดใหญ่และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบทรงไทย ความยาว 72 เมตร ความกว้าง 22 เมตร เป็นโบสถ์สองชั้น ด้านหน้ามีองค์ประกอบแบบไทย เช่น ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ แต่แทนที่จะเป็นช่อฟ้าธรรมดา กลับใช้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ด้านบนสุด ภายในประดับอย่างวิจิตร โดยเฉพาะชีบอรีอุมที่คลุมเหนือพระแท่น ซึ่งเป็นจุดเด่นไม่เหมือนโบสถ์คาทอลิกใดในประเทศไทยในยุคนั้น ผนังด้านในวาดเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ เสารองรับน้ำหนักประดับบัวหัวเสาลายกาบไผ่และลายใบหอก ฝ้าเพดานประดับลายดาวกระจายทั่วทั้งเพดาน หน้าต่างติดกระจกสีสวยงาม การก่อสร้างเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 และแล้วเสร็จในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2508 ใช้เวลาก่อสร้างรวม 5 ปี ด้วยงบประมาณ 1,700,000 บาท โดยบาทหลวงเอวเยน บุญชู เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการสร้างด้วยตนเอง โบสถ์นี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่อภิเษกพระคุณเจ้าเทียนชัย สมานจิต เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2514
โบสถ์หัวไผ่ในปัจจุบันแม้ยังคงความงดงามและมีคุณค่าทางศิลปะและศาสนา แต่ด้วยอายุที่ยาวนาน โครงสร้างหลายส่วนเริ่มเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะฝ้าเพดานที่ผุพัง คานปูนแตกร้าว และปูนเสื่อมสภาพกว่า 70% หลังจากทีมสำรวจตรวจสอบแล้ว บาทหลวงยอห์น บัปติสต์ วิเชียร ฉันทพิริยะกุล ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการโบสถ์ในขณะนั้น จึงเห็นสมควรให้ดำเนินการรื้อถอนและสร้างโบสถ์ใหม่ขึ้นแทน เพื่อความปลอดภัยและสืบสานความศรัทธาของชุมชนคริสต์ในพื้นที่
นอกจากตัวโบสถ์หลักแล้ว บาทหลวงเอวเยนยังได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านสร้างโบสถ์น้อยตามชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้สัตบุรุษในพื้นที่สามารถรวมตัวกันสวดภาวนาและประกอบพิธีกรรมใกล้บ้าน โดยแต่ละโบสถ์น้อยจะมีชื่อเฉพาะ เช่น โบสถ์น้อยแม่พระประจักษ์ที่ลูร์ด บนพื้นที่เดิมของโบสถ์หลังแรก โบสถ์น้อยแม่พระที่พึ่งแห่งปวงชนในเนินท่าข้าม โบสถ์น้อยแม่พระนิจจานุเคราะห์ที่เนินคู้-กระพังบอน โบสถ์น้อยแม่พระมหาชัยที่เนินกลม และโบสถ์น้อยแม่พระฟาติมาที่เนินชวดล่าง ซึ่งโบสถ์น้อยเหล่านี้มีการจัดงานฉลองประจำปีเป็นประเพณีสำคัญของชุมชน
ตลอดประวัติศาสตร์ของวัดคาทอลิกหัวไผ่ มีอธิการที่สืบต่อกันมาหลายท่าน เริ่มจากบาทหลวงมาธือแรง ฟรังซัวส์ มารี เกโก ผู้บุกเบิกพื้นที่ในปี พ.ศ. 2415 จนถึงบาทหลวงโยเซฟ อังคาร เจริญสัตย์สิริ ซึ่งดำรงตำแหน่งปัจจุบัน วัดแห่งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของคริสต์ศาสนิกชนเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของชุมชนและแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นหลักฐานสำคัญของความศรัทธาที่หยั่งรากลึกมากว่า 150 ปี และยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้บุกเบิกต่อไปอย่างมั่นคง




แสดงความเห็น
คำค้น (ขั้นสูง) |
Facebook Fanpage