หน้าหลัก > ภาคกลาง > จ.พระนครศรีอยุธยา > อ.พระนครศรีอยุธยา > ต.ประตูชัย > กติกาการจัดการแข่งขันกีฬามวยไทยประเพณีไทย


พระนครศรีอยุธยา

กติกาการจัดการแข่งขันกีฬามวยไทยประเพณีไทย

กติกาการจัดการแข่งขันกีฬามวยไทยประเพณีไทย

Rating: 5/5 (1 votes)

กติกาการจัดการแข่งขันกีฬามวยไทยประเพณีไทย ระเบียบและกติกาการแข่งขันกีฬามวยไทย กฎกติกามวยไทยสมัยใหม่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนครอบคลุมทุกแง่มุมของการแข่งขันมวยไทย ปัจจุบันนักมวยต้องสวมนวมขนาด 4 ออนซ์ และแต่งกายเหมือนนักมวย สวมกางเกงขาสั้นและกางเกงรัดรูป จะใส่พยุงเท้าหรือไม่ก็ได้ ยันต์สามารถผูกไว้ที่ต้นแขนได้ ส่วนพระเครื่องอื่น ๆ สามารถสวมใส่ได้เฉพาะช่วงรำไหว้ครูเท่านั้น และต้องถอดออกเมื่อเริ่มการแข่งขัน
 
ในการแข่งขันมีกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที 1 คนกรรมการให้คะแนนข้างเวที 2 คน จำนวนยกในการแข่งขันมีกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที 1 คนกรรมการให้คะแนนข้างเวที 2 คน จำนวนยกในการแข่งขันมี 5 ยก ยกละ 3 นาที พักระหว่างยก 2 นาที  การแข่งขันแบ่งออกเป็นฝ่ายตามน้ำหนักนักมวยคล้ายกับกฎกติกามวยสากล อวัยวะที่ใช้ในการต่อสู้ ได้แก่ หมัด, เท้า, เข่า, ศอก, ต่อย, เตะ และเตะ ฯลฯ ทุกส่วนของร่างกาย โดยไม่จำกัดบริเวณที่หมัด ท่ามวยไทยที่อันตรายมากบางอย่างห้ามเด็ดขาด เช่น ท่าหลักเพชร, เป็นท่าจับขาแล้วหักด้วยการนั่งทับ เป็นต้น
 
เวทีมวย
 
1. เวที สังเวียน ในการแข่งขันกีฬามวยไทยทั่ว ๆ ไป ได้กำหนดขนาดของเวที และสังเวียนไว้ ดังนี้
1.1 เวทีคือสถานที่ที่ประกอบขึ้นเพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬามวยโดยต้องสร้างให้แข็งแรงปลอดภัย ได้ระดับ ปราศจากสิ่งกีดขวางใดๆ และพื้นเวทีต้องยืนออกไปนอกเชือกกั้นอย่างน้อย 9o เซนติเมตร
 
1.2 พื้นเวทีต้องสร้างให้ปลอดภัย จะต้องอยู่สูงจากพื้นที่ตั้งไม่ต่ำกว่า 1.20 เมตร และไม่เกิน 1.50 เมตร โดยตั้งเสาที่หัวมุมทั้ง 4 ด้าน มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 – 12.5 เซนติเมตร และสูงขึ้นจากพื้น ที่ตั้งไม่เกิน 2.85 เมตร พื้นเวทีต้องปูด้วยวัสดุที่มีความนุ่ม เช่น ยาง ผ้าอ่อน ฟองน้ำ หรือวัสดุอื่น ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความหนาระหว่าง 2.50 - 3.75 เซนติเมตร ปูทับด้วยผ้าใบให้ตึงเรียบและมิดชิดคลุมพื้นเวทีทั้งหมด
 
1.3 ในการติดตั้งเวทีต้องให้มุมแดงอยู่ทางช้ายมือของโต๊ะประธานผู้ตัดสิน มุมน้ำเงินอยู่ตรงข้ามกับมุมแดง ส่วนอีกสองมุมเป็นมุมกลาง
 
1.4 เชือกกั้นเวทีมี 4 เส้น หุ้มด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่มและเรียบ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 - 5 เซนติเมตรขึงตึงกับเสาทั้งสี่ของเวที เชือกแต่ละเส้นสูงจากพื้นเวทีขึ้นไปถึงด้านบนของเชือก เส้นล่าง 45 เชนติเมตร เส้นที่ 2 เท่ากับ 75 เซนติเมตร เส้นที่ 3 เท่ากับ 1.05 เมตร และเชือกเส้นบนสุดสูงเท่ากับ 1.35 เมตร ตามลำดับ เชือก ทั้งสี่เส้นของแต่ละด้านต้องผูกยึดกันด้วยผ้าเหนียว 2 ชิ้น มีขนาดกว้าง 3 - 4 เชนติเมตร มีระยะห่างเท่า ๆ กันผ้าที่ผูกนั้นต้องยึดแน่น มุมทั้งสี่ต้องหุ้มนวมหรือวัสดุอื่นให้เรียบร้อย สามารถป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่นักมวยต้องมีบันไดที่มุมแดง และมุมน้ำเงิน เพื่อให้นักมวย พี่เลี้ยง ผู้ชี้ขาด และแพทย์สนามขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่
 
1.5 ให้ติดกล่องพลาสติกหรือกล่องที่ทำด้วยวัสดุอย่างอื่นที่มุมกลางทั้งสองมุม (ด้านนอกสังเวียน) มุมละ 1 กล่อง เพื่อให้ผู้ชี้ขาดทิ้งสำลี หรือสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว
 
1.6 สังเวียน คือ พื้นที่ส่วนหนึ่งของเวทีเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยวัดจากภายในเชือกกั้น ขนาดเล็กมีความยาว ด้านละ 6 เมตร ขนาดใหญ่ มีความยาวด้านละ 6.50 เมตร
 
1.7 เวที, สังเวียน และเชือกกั้นเวที ที่ไม่มีในระเบียบและกติกามวยไทยในภาค 1, 2 และ 3 ตาม พรบ. กีฬามวย พ.ศ. 2542 ให้กำหนดรูปแบบของเวทีมวย ขนาด จำนวนเชือกกั้น และอุปกรณ์อื่นๆ ได้ตามความเหมาะสม
 
อุปกรณ์เวที
 
2. อุปกรณ์เวทีที่ใช้สำหรับการจัดการแข่งขัน คือ อุปกรณ์ประจำเวที และ สังเวียนจะต้องประกอบไปด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้
2.1 ที่นั่งสำหรับนักมวยนั่งพักระหว่างยก มุมแดงและมุมน้ำเงิน พร้อมถาดรองน้ำ อาจใช้ ที่นั่งกลมหมุนเหวี่ยงไปมาได้
2.2 อุปกรณ์ถูพื้นสำหรับทำความสะอาดเวที และที่เช็ดเท้า
2.3 ขวดน้ำสำหรับดื่ม 2 ขวด และขวดน้ำชนิดพ่นฝอย 2 ขวด
2.4 ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน
2.5 ถังใส่น้ำดื่ม 2 ถัง
2.6 โต๊ะและเก้าอี้สำหรับกรรมการ เจ้าหน้าที
2.7 ระฆัง 1 ใบ
2.8 นาฬิกาจับเวลาชนิดกดหยุดได้ 1 หรือ 2 เรือน
2.9 ใบบันทึกคะแนน
2.10 กล่องหรือหีบทึบใส่กุญแจสำหรับเก็บใบบันทึกคะแนน
2.11 ป้ายบอก ยก - เวลา - คู่ จำนวน 1 ชุด
2.12 นวม 2 คู่
2.13 กางเกงนักมวยสีแดง และสีน้ำเงิน อย่างละ 1 ตัว
2.14 กระจับหรือเครื่องป้องกันอวัยวะเพศ 2 อัน
2.15 ฉากบังตา 2 อัน สำหรับใช้ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระจับ หรือเครื่องป้องกันอวัยวะเพศหลุดในระหว่างการแข่งขัน
2.16 เปลหามคนเจ็บ 1 ชุด
2.17 กรรไกรปลายมน 1 เล่ม
2.18 อุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขัน เช่น ธงให้สัญญาณผู้ชนะ, เครื่องขยายเสียงพร้อม, ไมโครโฟน เป็นต้น
 
นวมมวย
 
3. นวมที่ใช้ในการแข่งขันจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
3.1 ในการแข่งขัน นักมวยต้องใช้นวมที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งนายสนามมวย หรือผู้จัดรายการแข่งขันมวยจัดไว้เท่านั้น
 
3.2 นวมที่ใช้ในการแข่งขัน โดยส่วนที่เป็นหนังของนวมต้องหนักไม่เกินครึ่งหนึ่งของน้ำหนักนวมทั้งหมด และส่วนของไส้นวมต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำหนักนวมทั้งหมด ไส้นวมต้องไม่ถูกกระทำให้เปลี่ยนรูปหรือถูกบดขยี้ให้กระจายไปจากรูปเดิม
 
3.3 ขนาดของนวมที่ใช้ในการแข่งขันกำหนดดังนี้
3.3.1 นักมวยตั้งแต่รุ่นมินิฟลายเวทถึงรุ่นเฟเธอร์เวทต้องใช้นวมขนาด 6 ออนซ์ (132 กรัม)
3.3.2 นักมวยตั้งแต่รุ่นชูเปอร์เฟเธอร์เวทถึงรุ่นเวลเตอร์เวทต้องใช้นวมขนาด 8 ออนซ์ (227 กรัม)
3.3.3 นักมวยตั้งแต่รุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวทถึงรุ่นซูเปอร์มิดเดิลเวท ต้องใช้นวมขนาด 10 ออนซ์ (284 กรัม)
3.3.4 นักมวยตั้งแต่รุ่นไลท์เฮฟวี่เวทขึ้นไปต้องใช้นวมขนาด 12 ออนซ์ (340 กรัม)
 
3.4 การผูกเชือกนวม ให้ขมวดปมเอาไว้ด้านหลังของข้อมือ การสวมนวมต้องได้รับการตรวจ และประทับตรา จากเจ้าหน้าที่ตรวจนวมที่ได้รับมอบหมายจากสนามมวยเวทีลุมพินีซึ่งจะต้องดูแลควบคุมการสวมนวมเพื่อให้แน่ใจ ว่านักมวยปฏิบัติถูกต้องตามกติกาจนกระทั่งนักมวยขึ้นสู่เวที
 
3.5 นวมชนิดอื่น ๆ ที่ไม่มีในระเบียบและกติกามวยไทยในภาค 1, 2 และ 3 ตาม พรบ. กีฬามวย พ.ศ. 2542 ให้กำหนดรูปแบบของนวม และอื่น ๆ ได้ตามความเหมาะสม ตามน้ำหนักรุ่นในข้อ 3.3
 
ผ้าพันมือ
 
4. ผ้าพันมือ
4.1 ให้ใช้ผ้าพันมือที่สนามมวยเวทีลุมพินี หรือผู้จัดรายการแข่งขันมวยกำหนดและจัดไว้ให้เท่านั้น ห้ามใช้ผ้าพันมืออื่นนอกเหนือจากที่จัดไว้โดยเด็ดขาด
 
4.2 ให้ใช้ผ้าพันมืออย่างอ่อนยาวข้างละไม่เกิน 6 เมตร กว้างไม่เกิน 5 เซนติเมตร
 
4.3 ให้ใช้พลาสเตอร์ หรือแถบกาวยางยาวข้างละไม่เกิน 2.5 เมตร กว้าง 2.5 เซนติเมตรปิดทับข้อมือ หรือหลังมือ ห้ามพันทับสันหมัดโดยเด็ดขาด
 
4.4 การพันมือ ต้องได้รับการตรวจและประทับตราจากเจ้าหน้าที่ของสนามมวยเวทีลุมพินีเพื่อรับรองว่าเป็นไปตามข้อกำหนดแล้ว จึงให้สวมนวมได้
 
เครื่องแต่งกายนักมวย
 
5. เครื่องแต่งกาย
5.1 การแต่งกายของนักมวย
5.1.1 สวมกางเกงขาสั้นเพียงครึ่งโคนเข่าให้เรียบร้อย ไม่สวมเสื้อ และรองเท้า นักมวยมุมแดง ใช้กางเกงสีแดง สีชมพู สีเลือดหมู หรือสีขาว นักมวยมุมน้ำเงินใช้กางเกงสีน้ำเงินสีกรมท่าหรือสีดำ ต้องสวมเสื้อคลุมตามที่กำหนด
5.1.2 ต้องสวมกระจับหรือเครื่องป้องกันที่ทำขึ้นจากวัสดุแข็งแรงคลุมอวัยวะเพศ สามารถป้องกันอันตรายจากเข่า หรืออวัยวะอื่น โดยผูกปมเชือกไว้ด้านหลังด้วยเงื่อนตาย เก็บปลายเชือกส่วนที่เหลือให้เรียบร้อย
5.1.3 ห้ามไว้ผมยาวรุงรัง และห้ามไว้เครา เล็บมือและเล็บเท้าต้องตัดให้เรียบและสั้น
5.1.4 ต้องสวมมงคลเฉพาะเวลาไหว้ครูก่อนการแข่งขัน ส่วนระหว่างการแข่งขันอนุญาตให้ผูก ผ้าประเจียด (ชายผ้าประเจียดยาวไม่เกิน 5 นิ้ว) เครื่องราง หรือตะกรุดที่โคนแขนหรือที่เอวได้ แต่ต้องหุ้มผ้า
ให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันอันตราย
5.1.5 ให้ใช้ปลอกยืดรัดข้อเท้ากันเคล็ด สวมข้อเท้าได้ข้างละไม่เกิน 1 อันและต้องใส่ ทั้ง 2 ข้าง
ความยาวต้องไม่เกินครึ่งหนึ่งของหน้าแข้งห้ามเลื่อนขึ้นไปเป็นสนับแข้ง พับหรือม้วนลงมา ห้ามใช้ผ้ารัดขา และข้อเท้า
5.1.6 ห้ามใช้เข็มขัดหรือเครื่องประดับที่เป็นวัสดุที่ทำให้เกิดอันตราย
5.1.7 ห้ามใช้น้ำมันวาสลิน น้ำมันร้อน ไขหรือสมุนไพร หรือสิ่งอื่นทาร่างกาย และนวม
5.1.8 ต้องใส่ฟันยางที่มีมาตรฐาน
 
5.2 การละเมิดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย
5.2.1 การแต่งกายอื่นๆ ที่มีได้ระบุไว้ในข้อ 5.1 ต้องเอาออกก่อนไหว้ครู
5.2.2 ในกรณีที่นักมวยแต่งกายไม่สะอาด หรือไม่ถูกต้อง ให้ผู้ชี้ขาดมีอำนาจสั่งแก้ไข
 
5.3 การแต่งกายที่ไม่มีในระเบียบและกติกามวยไทยในภาค 1, 2 และ 3 ตาม พรบ. กีฬามวย พ.ศ. 2542 ให้กำหนดรูปแบบการแต่งกายได้ตามความเหมาะสม
 
รุ่นนักมวย
 
6. การจำแนกรุ่น และการชั่งน้ำหนักตัว (กติกามวยไทย)
6.1 การจำแนกรุ่น และกำหนดน้ำหนักตัวที่ใช้ในการแข่งขัน
6.1.1 รุ่นมินิฟลายเวท น้ำหนักตัวตั้งแต่ 100 ปอนด์ (45.351 กก.) และไม่เกิน 105 ปอนด์ (47.619 กก)
6.1.2 รุ่นไลท์ฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 105 ปอนด์ (47.619 กก.) และไม่เกิน 108 ปอนด์ (48.979 กก.)
6.1.3 รุ่นฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 108 ปอนด์ (48.979 กก.) และไม่เกิน 112 ปอนด์ (50.793 กก.)
6.1.4 รุ่นซูเปอร์ฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 112 ปอนด์ (50.793 กก.) และไม่เกิน 115 ปอนด์ (52.154 กก.)
6.1.5 รุ่นแบนตั้มเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 115 ปอนด์ (52.154 กก.) และไม่เกิน 118 ปอนด์ (53.514 กก.)
6.1.6 รุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 118 ปอนด์ (53.514 กก.) และไม่เกิน 122 ปอนด์ (55.328 กก.)
6.1.7 รุ่นเฟเธอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 122 ปอนด์ (55.328 กก.) และไม่เกิน 126 ปอนด์ (57.142 กก.)
6.1.8 รุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 126 ปอนด์ (57.142 กก.) และไม่เกิน 130 ปอนด์ (58.956 กก.)
6.1.9 รุ่นไลท์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 130 ปอนด์ (58.956 กก.) และไม่เกิน 135 ปอนด์ (61.224 กก.)
6.1.10 รุ่นซูเปอร์ไลท์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 135 ปอนด์ (61.224 กก.) และไม่เกิน 140 ปอนด์ (63.492 กก.)
6.1.11 รุ่นเวลเตอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 140 ปอนด์ (63.492 กก.) และไม่เกิน 147 ปอนด์ (66.666 กก.)
6.1.12 รุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 147 ปอนด์ (66.666 กก.) และไม่เกิน 154 ปอนด์ (69.841 กก.)
6.1.13 รุ่นมิดเดิลเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 154 ปอนด์ (69.841 กก.) และไม่เกิน 160 ปอนด์ (72.562 กก.)
6.1.14 รุ่นซูเปอร์มิดเดิลเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 160 ปอนด์ (72.562 กก.) และไม่เกิน 168 ปอนด์ (76.190 กก.)
6.1.15 รุ่นไลท์เฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 168 ปอนด์ (76.190 กก.) และไม่เกิน 175 ปอนด์ (79.365 กก.)
6.1.16 รุ่นครุยเซอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 175 ปอนด์ (79.365 กก.) และไม่เกิน 190 ปอนด์ (86.167 กก.)
6.1.17 รุ่นเฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 190 ปอนด์ขึ้นไป (86.167 กก. ขึ้นไป
 
6.2 การชั่งน้ำหนักตัว
6.2.1 ต้องได้รับการตรวจและรับรองจากนายแพทย์ว่าเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
6.2.2 นักมวยต้องชั่งน้ำหนักโดยปราศจากเครื่องแต่งกาย หรือสวมกางเกงชั้นในที่ไม่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก ในวันแข่งขันภายในเวลา 0800 - 1000 น. โดยจะต้องไม่ดำเนินการแข่งขันก่อน 3 ชั่วโมง ภายหลังจากเวลาชั่งน้ำหนัก ทั้งนี้นายสนามมวยอาจเปลี่ยนแปลง กำหนดระยะเวลาได้หากมีเหตุผลที่เหมาะสม
6.2.3 เมื่อหมดเวลาชั่งน้ำหนักให้นักมวยที่มีน้ำหนักเกินในการชั่งครั้งก่อนให้ทำการชั่งเป็นครั้งสุดท้าย
6.2.4 หัวหน้าค่ายมวย ผู้จัดการหรือผู้แทนของนักมวยทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ ร่วมตรวจสอบการชั่งน้ำหนักตัว
6.2.5 นักมวย จะแข่งขันกันได้ต้องมีน้ำหนักตัวต่างกันไม่เกิน 5 ปอนด์ ยกเว้น รุ่นเฮฟวี่เวท
6.2.6 ในจัดการแข่งขันมวยในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ในระเบียบและกติกามวยไทยในภาค 1, 2 และ 3 ตาม พรบ. กีฬามวย พ.ศ. 2542 ให้นักมวยต้องชั่งน้ำหนักตัวโดยปราศจากเครื่องแต่งกาย หรือสวมกางเกงชั้นในที่ ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก ก่อนการแข่งขัน 1 วัน ทั้งนี้นายสนามมวยสามารถเปลี่ยนแปลงกำหนดระยะ วันและเวลาได้หากมีเหตุผลที่เหมาะสม
 
การไหว้ครู
 
7. การไหว้ครู และจำนวนยก
7.1 การไหว้ครู ก่อนเริ่มการแข่งขันนักมวยต้องร่ายรำไหว้ครูตามศิลปะประเพณี โดยมีปี่ชวากลองแขก ตัวผู้และกลองแขกตัวเมีย และฉิ่ง จับจังหวะบรรเลง เมื่อนักมวยไหว้ครูเสร็จแล้ว จึงให้เริ่มการแข่งขัน
7.2 จำนวนยกที่เป็นมาตรฐานมวยไทย กำหนดให้แข่งขัน 5 ยก ยกละ 3 นาที หยุดพักระหว่างยก 2 นาที การหยุดการแข่งขันเพื่อเตือนอย่างเป็นทางการ ตัดคะแนน จัดเครื่องแต่งกายของนักมวยให้เรียบร้อย หรือด้วยเหตุอื่น ๆ ไม่นับรวมอยู่ในเวลาแข่งขันของแต่ละยก 7.3 จำนวนยกที่ไม่ใช่ในระเบียบและกติกามวยไทยในภาค 1, 2 และ 3 ตาม พรบ. กีฬามวย พ.ศ. 2542 ให้กำหนดรูปแบบจำนวนยกและหยุดพัก และอื่นๆ ได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนักมวยเป็นหลัก
 
คุณสมบัติของนักมวย
 
8. นักมวย ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
8.1 อายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์
8.2 น้ำหนักตัวตั้งแต่ 100 ปอนด์ขึ้นไป
8.3 ต้องมีบัตรประจำตัวนักมวยและสมุดประจำตัวนักมวย ที่ออกให้โดยสำนักงานคณะกรรมการ กีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย
8.4 ต้องไม่เป็นโรคที่ต้องห้ามตามที่ระบุไว้ในคู่มือแพทย์
8.5 กรณีคุณสมบัตินักมวยที่ไม่มีในระเบียบและกติกามวยไทยในภาค 1, 2 และ 3 ตาม พรบ. กีฬามวยพ.ศ. 2542 สามารถกำหนดเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม
 
พี่เลี้ยงนักมวย
 
9. พี่เลี้ยง ในการแข่งขันทั่ว ๆ ไปนักมวยแต่ละฝ่ายให้มีพี่เลี้ยงได้ 2 คน และต้องแจ้งให้ผู้ชี้ขาดทราบก่อน การแข่งขันเริ่มขึ้น ว่าพี่เลี้ยงคนใดเป็นหัวหน้าพี่เลี้ยง เว้นแต่ในกรณีการแข่งขันเพื่อ ชิงแชมเปี้ยนให้มีพี่เลี้ยง ได้ฝ่ายละ 3 คน และระหว่างพักยกให้พี่เลี้ยงเข้าไปในสังเวียนได้ 2 คน หน้าที่ของพี่เลี้ยงมีดังนี้
9.1 พี่เลี้ยงต้องสวมเสื้อแสดงสัญลักษณ์ค่ายมวยของตน และแขวนบัตรแสดงสถานะพี่เลี้ยงตลอดเวลาที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ต้องแต่งกายสุภาพ ไม่สวมหมวกไม่ใส่แว่นตาดำ และห้ามสวมรองเท้าแตะ
9.2 พี่เลี้ยงอาจจะจัดอุปกรณ์ เครื่องมือ และเวชภัณฑ์ส่วนตัวไว้ที่มุมได้ดังนี้
9.2.1 น้ำ
9.2.2 น้ำแข็ง
9.2.3 ผ้าเช็ดตัว
9.2.4 อะดรีนาลีน 1/1000 หรือสารอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์สนาม
9.2.5 ผ้าก๊อซปิดแผล
9.2.6 ไม้ปุ่มสำลี
9.2.7 กรรไกรปลายมน
9.2.8 เทปปิดแผล
9.2.9 สำลีแผ่น หรือผ้าปิดแผลแบบนุ่ม
9.3 ห้ามพี่เลี้ยงใช้วาจาไม่สุภาพหรือทำร้ายนักมวย ระหว่างการแข่งขันและภายหลังการแข่งขัน
9.4 ระหว่างการแข่งขันพี่เลี้ยงจะต้องอยู่ ณ ที่นั่งของตน ที่กำหนดให้เท่านั้น ก่อนเริ่มการแข่งขัน
ในแต่ละยกให้พี่เลี้ยงนำผ้าเช็ดตัวขวดน้ำ และอุปกรณ์อื่นๆ ออกไปจากขอบเวที
9.5 ห้ามพี่เลี้ยงใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ขณะทำหน้าที่ และห้ามส่งเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดให้นักมวย
9.6 ระหว่างการแข่งขันห้ามพี่เลี้ยง แนะนำ ช่วยเหลือหรือส่งเสริม หรือส่งสัญญาณ หรือสั่งนักมวย ไม่ทำการแข่งขันอย่างจริงจัง พี่เลี้ยงที่กระทำผิดกติกาหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ผู้ชี้ขาดเตือนหรือให้ออกจาก หน้าที่ หรือปรับนักมวยเป็นฝ่ายแพ้หรือไม่มีการตัดสิน
9.7 ระหว่างพักยก พี่เลี้ยงต้องตรวจดูเครื่องแต่งกายของนักมวยให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย พร้อมแข่งขัน ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นพี่เลี้ยงจะต้องแจ้งให้ผู้ชี้ขาดทราบเพื่อแก้ไขโดยด่วน
9.8 การให้น้ำนักมวย พี่เลี้ยงต้องไม่ให้น้ำนักมวยจนเปียกชุ่ม และต้องไม่ทำให้พื้นเวทีเปียกลื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายในระหว่างการแข่งขัน และต้องเช็ดตัวนักมวยให้แห้ง
9.9 พี่เลี้ยงจะยอมแพ้แทนนักมวยได้ โดยการขึ้นไปบนเวทีและแจ้งให้ผู้ชี้ขาดทราบเท่านั้น ห้ามโยนฟองน้ำหรือผ้าเช็ดตัวเข้าไปในสังเวียน
 
กรรมการนักมวย
 
10. คณะกรรมการผู้ตัดสินของสนามมวยเวทีลุมพินี ต้องมีคุณสมบัติของคณะกรรมการผู้ตัดสิน ดังนี้
10.1 ข้าราชการ ทหาร หรือ ตำรวจ
10.1.1 เป็นเพศชาย หรือ เพศหญิง มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ที่มีบุคลิกภาพดี ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีว่าเป็นผู้ที่มีร่างกายและระบบประสาทที่สมบูรณ์พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่
10.1.2 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าขึ้นไป
10.1.3 มีชั้นยศตั้งแต่ ส.ต. หรือเทียบเท่าขึ้นไป
10.1.4 ผ่านการอบรมเป็นผู้ตัดสินจากคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย
10.1.5 มีบัตรประจำตัวผู้ตัดสิน จากคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย
10.1.6 ปฏิบัติตาม ระเบียบ
 
10.2 ข้าราชการพลเรือน หรือ พลเรือน
10.2.1 เป็นเพศชาย หรือ เพศหญิง มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ที่มีบุคลิกภาพดี ร่างกาย สมบูรณ์แข็งแรง ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีว่าเป็นผู้ที่มีร่างกาย และระบบประสาท ที่สมบูรณ์พร้อมในการ ปฏิบัติหน้าที่
10.2.2 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
10.2.3 ประกอบสัมมาอาชีพสุจริต สามารถตรวจสอบได้
10.2.4 ผ่านการอบรมเป็นผู้ตัดสินจากคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย
10.2.5 มีบัตรประจำตัวผู้ตัดสิน จากคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย
10.2.6 ปฏิบัติตาม ระเบียบคณะกรรมการกีฬามวย ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ตัดสิน พ.ศ. 2545
10.3 จรรยาบรรณของคณะกรรมการผู้ตัดสิน
10.3.1 พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้ง กาย วาจา และจิตใจ
10.3.2 ยึดมั่น รัก และ ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพของกรรมการ
10.3.3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจริงใจ โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
10.3.4 ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ หรือให้สัมภาษณ์ถึงผลการแข่งขันอันก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย
10.3 กรรมการผู้ตัดสิน ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ จรรยาบรรณ จะถูกพิจารณาให้พักการปฏิบัติหน้าที่ หรือให้ออกจากการเป็นคณะกรรมการผู้ตัดสิน และในกรณีปฏิบัติทางวินัยเมื่อเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ชี้ขาด และกรรมการให้คะแนน ไม่มีประสิทธิภาพหรือการตัดสินไม่เป็นที่พอใจหรือขาดความยุติธรรม ให้ประธาน ผู้ตัดสิน รายงานให้นายสนามมวยเวทีลุมพินี พิจารณาดำเนินการต่อไป
10.4 คณะกรรมการผู้ตัดสินต้องแต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีน้ำเงิน หรือสีดำ เสื้อเชิ้ต หรือเสื้อยืด สีน้ำเงินหรือสีที่สุภาพ ติดเครื่องหมายของสนามมวยเวทีลุมพินีที่อกเสื้อด้านซ้าย สวมรองเท้าสีดำชนิดเบาพื้นเรียบ และไม่มีส้น ไม่สวมแว่นตาหรือเครื่องประดับที่เป็นโลหะ เล็บมือตัดเรียบร้อยสั้น ไม่ไว้ผมยาวรุงรังและห้ามไว้เคราไว้หนวด
10.5 ในการจัดการแข่งขันมวยในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ในระเบียบและกติกามวยไทยในภาค 1, 2 และ 3 ตาม พรบ. กีฬามวย พ.ศ. 2542 ผู้ชี้ขาดต้องแต่งกายตามที่สนามมวยเวทีลุมพินีกำหนด
 
กรรมการนักมวย
 
11. ผู้ชี้ขาด
11.1 ขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ชี้ขาดบนเวทีมีดังนี้
11.1.1 ขึ้นบนเวที ก่อนนักมวยโดยยืนที่มุม ในท่าตรง อย่างสง่าผ่าเผย โดยวางแขนขนานกับเชือกเส้นบนสุด
11.1.2 ทำการตรวจความเรียบร้อยของอุปกรณ์ นวม เครื่องแต่งกาย ฟันยาง ปลอกยืดรัดข้อเท้ากันเคล็ด น้ำมันทาตัว
11.1.3 ให้สัญญาณ วงปี่ – กลอง บรรเลง เพื่อให้นักมวยไหว้ครูรำมวย
11.1.4 ก่อนการแข่งขันในยกแรกให้นักมวยทั้งคู่จับมือกลางเวทีและเตือนกติกาที่สำคัญ
11.1.5 เช็ดนวมก่อนการแข่งขันทุกยก ใหัสัญญาณมือในการสั่งชกยกที่ 1 - 5
11.1.6 เมื่อสัญญาณระฆังหมดยก ผู้ชี้ขาดต้องสั่ง “หยุด” พร้อมสัญญาณมือทันที และผู้ชี้ขาดเข้ามุมกลางของตน
11.1.7 ในระหว่างการพักยก ผู้ชี้ขาดอาจเข้าไปเตือนนักมวย หรือพี่เลี้ยงที่มุมเพื่อมิให้กระทำผิดกติกา หรือพิจารณาการบาดเจ็บของนักมวยที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันในยกที่ผ่านมา
11.1.8 ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรใช้เท้ากัน หรือแยกมวย และ ไม่ควรยกเท้าสูง ในการรับศรีษะนักมวยให้ถือเป็นศิลปะการห้ามมวยที่สำคัญ
11.1.9 ผู้ชี้ขาดรวบรวมใบคะแนนจากผู้ให้คะแนนทั้ง 3 คน หลังจากผู้ให้คะแนนบันทึกคะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และนำใบให้คะแนนส่งให้กับประธานผู้ตัดสิน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ทุกยก และกลับมายืนที่มุม
11.1.10 เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันให้ผู้ชี้ขาด เรียกนักมวยทั้ง 2 ฝ่าย มายืนกลางเวที โดยผู้ชี้ขาดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างนักมวยทั้ง 2 ฝ่าย
11.1.11 ผู้ชี้ขาด ชูมือให้กับนักมวยผู้ชนะตามผลการรวมคะแนนของประธาน ผู้ตัดสิน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วส่งให้โฆษกสนามประกาศผลการแข่งขันพร้อมคะแนน
11.1.12 หากนักมวย ผู้ใดผู้หนึ่ง “ชนะโดยน็อกเอาท์” หรือ “ชนะ โดยเทคนิเคิลน็อกเอาท์” ให้ผู้ชี้ขาด ชูมือให้กับนักมวยผู้ชนะกลางเวที แล้วจึงเก็บใบคะแนนจากผู้ให้คะแนนทั้ง 3 คน ส่งให้ ประธานผู้ตัดสิน
11.1.13 ให้ผู้แข่งขันจับมือกันหรือแสดงความเคารพหรือน้ำใจยอมรับในผลการแข่งขัน
11.1.14 ผู้ชี้ขาดจะลงจากเวทีเป็นคนสุดท้าย
 
11.2 หน้าที่ผู้ชี้ขาด
11.2.1 รักษากติกาและความเป็นธรรมอย่างเคร่งครัด
11.2.2 ตรวจนวม เครื่องแต่งกาย และฟันยางของนักมวย
11.2.3 ต้องแสดงพฤติกรรมที่สุภาพต่อนักมวยและผู้ชม
11.2.4 ควบคุมการแข่งขันอย่างใกล้ชิดทุกระยะ
11.2.5 ระมัดระวังและป้องกันดูแลนักมวยที่อ่อนแอกว่าไม่ให้ได้รับความบอบช้ำเกินควร
11.2.6 ใช้คำสั่ง 3 คำ คือ
 - “หยุด” เมื่อสั่งให้นักมวยหยุดชก
 - “แยก” เมื่อสั่งให้นักมวยแยกออกจากกัน กรณีที่ผู้ชี้ขาดสั่ง “แยก” นักมวยทั้งสอง ต้องถอยหลังออกมาอย่างน้อย 1 ก้าว
 - “ชก” เมื่อสั่งให้นักมวยชก
11.2.7 แสดงสัญญาณที่ถูกต้องเพื่อให้นักมวยที่ทำผิดกติกาทราบถึงความผิด
11.2.8 เมื่อนักมวยทำผิดกติกาจนผู้ชี้ขาดปรับให้นักมวยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น ฝ่ายแพ้ หรือยุติการแข่งขัน หลังจากประกาศให้ผู้ชมทราบแล้ว จะต้องแจ้งเหตุผลให้ประธานผู้ตัดสินทราบ
11.2.9 ห้ามให้นักมวยที่ทำผิดกติกาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เช่น จับเชือกเตะ จับเชือกตีเข่า เป็นต้น
11.2.10 ห้ามกระทำการใดๆ ที่ให้คุณให้โทษ แก่นักมวยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น นับช้า - นับเร็วเตือน – ไม่เตือน เป็นต้น อันมีผลต่อการได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
11.2.11 เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน ในแต่ละยก ต้องรวบรวมใบบันทึกคะแนนของผู้ให้คะแนนทั้ง 3 คน ไปให้ประธานผู้ตัดสิน แล้วชูมือนักมวยผู้ชนะขึ้น ในกรณีเสมอให้ผู้ชี้ขาดชูมือนักมวยทั้งคู่ขึ้นพร้อมกัน
11.2.12 ห้ามวิพากษ์วิจารณ์หรือให้สัมภาษณ์ถึงผลการแข่งขันที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากประธานผู้ตัดสิน
11.3 อำนาจผู้ชี้ขาด
11.3.1 ยุติการแข่งขันเมื่อเห็นว่านักมวยฝ่ายหนึ่งมีฝีมือเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาก หรือกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
11.3.2 ยุติการแข่งขันเมื่อเห็นว่านักมวยบาดเจ็บจนไม่สามารถจะทำการแข่งขันต่อไปได้
11.3.3 ยุติการแข่งขันเมื่อเห็นว่านักมวยไม่แข่งขันกันจริงจัง ในกรณีเช่นนี้อาจให้นักมวยคนหนึ่งหรือทั้งสองคนออกจากการแข่งขันโดยไม่มีการตัดสิน
11.3.4 หยุดการแข่งขันเมื่อเห็นว่านักมวยบาดเจ็บ เช่น เกิดบาดแผลฉกรรจ์ ผู้ชี้ขาดอาจจะหารือแพทย์สนามก็ได้ เมื่อหารือแล้วผู้ชี้ขาดต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ
11.3.5 หยุดการแข่งขัน เพื่อเตือน ตัดคะแนนนักมวยที่ทำผิดกติกา หรือด้วยเหตุอื่นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมหรือเพื่อให้ปฏิบัติตามกติกา
11.3.6 หยุดการนับเมื่อคู่ชกไม่ไปยังมุมกลางที่ไกลที่สุด หรือออกมาจากมุมก่อนนับครบตามกำหนด
11.3.7 ให้นักมวยที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือทำร้าย หรือก้าวร้าวผู้ชี้ขาด ปรับให้เป็นฝ่ายแพ้ หรือไม่มีการตัดสิน
11.3.8 ให้พี่เลี้ยงที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือทำผิดกติกาออกจากหน้าที่ หรือปรับให้นักมวยเป็นฝ่ายแพ้หรือไม่มีการตัดสิน
11.3.9 ต้องไม่ปล่อยให้นักมวยที่มีเจตนาทำผิดกติกา และเป็นฝ่ายได้เปรียบ เช่น จับเชือกออกอาวุธมวย การดัดหลังแล้วตี เป็นต้น
11.3.10 การแข่งขันในยกหนึ่งยกใด เมื่อนักมวยชกต่ำกว่ามาตรฐาน ผู้ชี้ขาดมีสิทธิสั่งยุติการแข่งขัน หรือไม่มีคำตัดสิน
11.3.11 การเตือนและลงโทษผู้ทำผิดกติกา
11.3.11.1 ให้เตือนนักมวย เพื่อให้ระมัดระวัง หรือป้องกันไม่ให้กระทำในสิ่งที่เป็นการทำผิดกติกา
11.3.11.2 การตัดคะแนนผู้ทำผิดกติกา ผู้ชี้ขาดต้องสั่งให้นักมวยหยุดการชกแล้วจึงตัดคะแนนผู้ทำผิดกติกาอย่างชัดเจน เพื่อให้นักมวยเข้าใจเหตุและความมุ่งหมายของการตัดคะแนนนั้น ผู้ชี้ขาดต้องให้สัญญาณมือและชี้ตัวนักมวยให้ผู้ให้คะแนนทุกคนทราบว่าได้มีการตัดคะแนน กรณีที่นักมวยถูกตัดคะแนนถึง 3 ครั้ง ให้ถูกปรับเป็นฝ่ายแพ้หรือไม่มีการตัดสิน หากเป็นการทำผิดกติกาที่ร้ายแรงให้ปรับนักมวยผู้นั้นเป็นฝ่ายแพ้หรือไม่มีการตัดสิน โดยที่ไม่เคยถูกตัดคะแนนมาก่อน
11.3.12 การนับนักมวยที่ออกนอกสังเวียน
11.3.12.1 นักมวยถูกคู่แข่งขันกระทำด้วยอาวุธมวยไทยเป็นผลให้ออกนอกสังเวียนให้ผู้ชี้ขาดเริ่มนับ พร้อมกับสั่งให้คู่แข่งขันไปอยู่มุมกลางที่ไกลที่สุด
11.3.12.2 นักมวยตกเวที
11.3.12.2.(1) เมื่อนักมวยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตกจากเวทีให้ผู้ชี้ขาดนับถึง "ยี่สิบ" ถ้านักมวยกลับเข้ามาภายในสังเวียนก่อนการนับถึง "ยี่สิบ" ให้ทำการแข่งขันต่อไป และไม่เสียคะแนน
11.3.12.2.(2) เมื่อนักมวยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกจากเวทีถ้าถูกขัดขวางและหน่วงเหนี่ยวจากบุคคลใดๆ ไม่ให้ขึ้นเวทีให้ผู้ชี้ขาดหยุดนับ และตักเตือนให้ชัดเจนแล้วจึงนับต่อไป ถ้าผู้ขัดขวางไม่เชื่อฟัง ให้หยุดการแข่งขันแล้วแจ้งประธานผู้ตัดสิน
11.3.12.2.(3) เมื่อนักมวยทั้งสองฝ่ายตกจากเวที ให้ผู้ชี้ขาดเริ่มนับ หากนักมวยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามหน่วงเหนี่ยวให้หยุดการนับและเตือนให้ชัดเจนแล้วจึงเริ่มนับต่อ ถ้านักมวยผู้หน่วงเหนี่ยวไม่เชื่อฟังให้ปรับนักมวยผู้นั้นเป็นฝ่ายแพ้ หรือไม่มีการตัดสิน
11.3.12.2.(4) ถ้านักมวยทั้งสองฝ่ายตกจากเวที ให้ผู้ชี้ขาดเริ่มนับ ถ้านักมวยฝ่ายใดกลับเข้ามาภายในสังเวียนก่อนการนับถึงยี่สิบสิ้นสุดลง ให้นักมวยฝ่ายนั้นเป็นผู้ชนะ แต่ถ้านักมวยทั้งสองฝ่ายไม่กลับเข้ามาภายในสังเวียนเมื่อการนับถึงยี่สิบสิ้นสุดลง ให้ตัดสินเป็นเสมอกัน
11.3.13 การตีความในกติกาที่ใช้บังคับตามข้อเท็จจริง หรือตัดสิน หรือปฏิบัติ ในเรื่องที่ไม่มีบัญญัติไว้ในกติกาให้ถือเป็นอำนาจผู้ชี้ขาด
 
ผู้ให้คะแนน
 
12. ผู้ให้คะแนน มี 3 คน แต่ละคนต้องนั่งอยู่คนละด้านของเวทีและมีระยะห่างจากผู้ชมมีหน้าที่ดังนี้
12.1 ผู้ให้คะแนน ให้คะแนนเป็นอิสระ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้คะแนน
12.2 ผู้ให้คะแนน ให้คะแนนลงในบัตรบันทึกคะแนนและลงลายมือชื่อส่งให้ผู้ชี้ขาดทันทีที่สิ้นสุดการแข่งขันในแต่ละยก
12.3 ห้ามผู้ให้คะแนน ลุกออกจากที่นั่งจนกว่าผู้ชี้ขาดตัดสินผลการแข่งขันแล้ว
12.4 ระหว่างการแข่งขัน ผู้ให้คะแนนแต่ละคนห้ามพูดคุยกับนักมวยหรือผู้ให้คะแนนด้วยกัน หรือบุคคลอื่นใด เว้นกรณีจำเป็นในเวลาหยุดพักระหว่างยก สามารถแจ้งให้ผู้ชี้ขาดทราบว่า มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่อาจส่งผลต่อการแข่งขัน เช่นพี่เลี้ยงกระทำผิดกติกา อุปกรณ์ต่างๆ บนเวทีต้องแก้ไข เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ชี้ขาดอาจไม่ได้สังเกตเห็นในขณะนั้น
12.5 ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ หรือให้สัมภาษณ์ถึงผลการแข่งขันที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วก็ตามเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากประธานผู้ตัดสิน
 
ประธานผู้ตัดสิน
 
13. ประธานผู้ตัดสิน
13.1 หน้าที่ประธานผู้ตัดสิน
13.1.1 จัดผู้ชี้ขาด ผู้ให้คะแนน ให้ปฏิบัติหน้าที่ในรายการแข่งขัน
13.1.2 ควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ชี้ขาด ผู้ให้คะแนน ให้เป็นไปตามระเบียบ และกติกา
13.1.3 พิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ชี้ขาด ผู้ให้คะแนน หากผู้ชี้ขาดหรือผู้ให้คะแนนคนใดปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องหรือไม่มีประสิทธิภาพ ต้องรายงานให้นายสนามมวยทราบ
13.1.4 แก้ปัญหาอันเกิดจากการแข่งขันทุกกรณี และรายงานให้นายสนามมวยทราบ
13.1.5 ให้คำปรึกษาแก่ผู้ชี้ขาด และผู้ให้คะแนนในเรื่องที่ต้องตัดสินใจ
13.1.6 ตรวจสอบใบบันทึกคะแนนทั้งหมด เพื่อดูว่าชื่อนักมวยถูกต้อง การรวมคะแนนถูกต้อง ระบุผลการแข่งขันถูกต้อง ผู้ให้คะแนนได้ลงลายมือชื่อในใบบันทึกคะแนนแล้ว และเมื่อตรวจสอบแล้ว แจ้งผลให้ผู้ประกาศเพื่อประกาศให้ผู้ชมทราบ
13.1.7 กรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ จนผู้ชี้ขาด ผู้ให้คะแนนและผู้รวมคะแนน ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ประธานผู้ตัดสินอาจปฏิบัติการอย่างใดโดยฉับพลัน เพื่อให้การแข่งขันดำเนินต่อไปได้
13.1.8 แจ้งนายสนามมวยเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการกีฬามวย กรณีที่นักมวยกระทำความผิดอย่างร้ายแรง ขัดต่อจรรยาบรรณและความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬา
 
13.2 อำนาจประธานผู้ตัดสิน สามารถดำเนินการแก้ไข คำตัดสินของผู้ชี้ขาดหรือ ผู้ให้คะแนน ได้ในกรณี ดังนี้
13.2.1 เมื่อผู้ชี้ขาดปฏิบัติหน้าที่หรือมีคำตัดสินขัดกับกติกาอย่างชัดเจน
13.2.2 เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่าผู้ให้คะแนน ผิดพลาดในใบรวมคะแนน อันมีผลทำให้คำตัดสินผิดไป
 
ผู้รักษาเวลา
 
14. ผู้รักษาเวลา และผู้ประกาศ
14.1 หน้าที่ผู้รักษาเวลา
14.1.1 รักษาจำนวนยก และเวลาแข่งขันของแต่ละยก เวลาหยุดพักระหว่างยก และ เวลานอก
14.1.2 ให้สัญญาณเริ่มยกและหมดยกด้วยการตีระฆัง
14.1.3 อีก 5 วินาทีก่อนเริ่มการแข่งขันแต่ละยก ต้องให้สัญญาณให้ผู้ชี้ขาดเตรียมสังเวียนให้ว่างสำหรับการแข่งขันในยกต่อไป
14.1.4 หักเวลาออกสำหรับการหยุดชั่วคราว หรือเมื่อผู้ชี้ขาดสั่งให้หยุดเวลา
14.1.5 รักษาเวลาให้ถูกต้องทุกระยะ ด้วยนาฬิกาพก หรือนาฬิกาตั้งโต๊ะ
14.1.6 ในขณะที่ผู้ชี้ขาดกำลังนับ ต้องไม่ให้สัญญาณระฆัง แม้เวลาแข่งขันในยกนั้นได้สิ้นสุดลงผู้รักษาเวลาจะให้สัญญาณระฆังเมื่อผู้ชี้ขาดสั่ง “ชก” จึงจะให้สัญญาณหมดยกด้วยการตีระฆัง หากผู้ชี้ขาดนับถึง 10 ให้ถือเป็นการสิ้นสุดการแข่งขัน
 
14.2 หน้าที่ผู้ประกาศ
14.2.1 ประกาศชื่อ – สังกัด - มุม - น้ำหนัก ของนักมวยทั้งสองฝ่ายให้ผู้ชมทราบเมื่อนักมวยปรากฏตัวบนเวที
14.2.2 ประกาศให้พี่เลี้ยงลงจากเวที เมื่อได้ยินสัญญาณเตือนจากผู้รักษาเวลา
14.2.3 ประกาศเริ่มและสิ้นสุดการแข่งขันแต่ละยก
14.2.4 ประกาศคะแนนของนักมวยทั้งสองฝ่ายและระบุผลการตัดสิน
 
การตัดสินมวยไทย
 
15. การตัดสิน ในการตัดสินมีแนวทางการตัดสินดังนี้
15.1 ชนะโดยคะแนน เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน นักมวยที่ได้รับคะแนนโดยเสียงข้างมากของผู้ให้คะแนนเป็นผู้ชนะ
 
15.2 ชนะโดยน๊อกเอาท์ ถ้านักมวย “ล้ม” และไม่สามารถชกต่อไปได้ภายใน 10 วินาที ให้นักมวยฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ชนะโดยน็อกเอาท์
 
15.3 ชนะโดยเทคนิเคิลน๊อกเอาท์
15.3.1 เมื่อนักมวยฝ่ายหนึ่งมีฝีมือเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมากหรือกระทำอยู่ ฝ่ายเดียวจนคู่แข่งขันเกิดอันตรายได้
15.3.2 เมื่อนักมวยฝ่ายหนึ่งไม่สามารถที่จะแข่งขันต่อไปได้ทันที ภายหลังที่ได้หยุดพักระหว่างยก
15.3.3 เมื่อนักมวยฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้
15.3.4 เมื่อนักมวยฝ่ายหนึ่งถูกนับเกิน 2 ครั้งในยกเดียวกัน หรือเกิน 4 ครั้ง ตลอดการแข่งขัน
15.3.5 เมื่อนักมวยฝ่ายหนึ่งตกเวที และผู้ชี้ขาดนับถึง “ยี่สิบ” แล้วไม่สามารถกลับเข้ามาในสังเวียนได้
15.3.6 เมื่อนักมวยฝ่ายหนึ่งถอนตัวออกจากการแข่งขันด้วยความสมัครใจเนื่องจากการบาดเจ็บหรือเหตุอื่น
 
15.4 ชนะโดยคู่แข่งขันถูกปรับให้แพ้ เมื่อนักมวยฝ่ายหนึ่งกระทำผิดกติกาอย่างร้ายแรง ซึ่งผู้ชี้ขาดปรับให้นักมวยฝ่ายนั้น เป็นฝ่ายแพ้ โดยมีการเตือน หรือไม่มีการเตือน หรือไม่มีการตัดคะแนนมาก่อน
 
15.5 ชนะผ่าน ในกรณีที่นักมวยฝ่ายหนึ่งไม่ผ่านการตรวจของแพทย์สนาม ไม่ผ่านการชั่งน้ำหนักหรือไม่มาทำการแข่งขันตามรายการ ให้นักมวยฝ่ายตรงข้ามชนะผ่าน
 
15.6 การตัดสินเสมอ
15.6.1 เมื่อผลการให้คะแนนของผู้ให้คะแนนส่วนใหญ่เสมอกัน ไม่มีผู้ชนะตามเสียงข้างมาก(แดง น้ำเงิน เสมอ)
15.6.2 เมื่อนักมวยทั้งคู่ “ล้ม” และถูกนับถึงสิบ
15.6.3 เมื่อนักมวยทั้งคู่ตกจากเวทีและถูกนับถึงยี่สิบ
15.6.4 เมื่อนักมวยทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถที่จะแข่งขันต่อไปได้
 
15.7 ไม่มีการตัดสิน เมื่อผู้ชี้ขาดเห็นว่านักมวยฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” ให้ยุติการแข่งขันโดยประกาศว่า “มวยคู่นี้ไม่มีการตัดสิน เนื่องจาก (ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน หรือทั้งสองฝ่าย) ชกไม่สมศักดิ์ศรี”
 
15.8 ไม่มีการแข่งขัน ในกรณีที่นักมวยไม่ชกกัน ผู้ชี้ขาดได้เตือนและตัดคะแนนแล้ว ยังไม่ชกกัน ให้ยุติการแข่งขันและให้ประกาศว่า “มวยคู่นี้ไม่มีการแข่งขัน เนื่องจากนักมวยทั้งสองฝ่ายไม่ชกกัน”
 
15.9 ยกเลิกการแข่งขัน ในกรณีที่เวทีเกิดความเสียหาย ผู้ชมไม่อยู่ในความสงบหรือเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง จนไม่สามารถที่จะแข่งขันต่อไปได้ ให้ยุติการแข่งขันและให้ประกาศว่า "มวยคู่นี้ยกเลิกการแข่งขัน"
 
การให้คะแนนมวยไทย
 
16. การให้คะแนน การให้คะแนนต้องให้ตามหลักเกณฑ์ในกรณีเมื่อนักมวยได้ใช้ หมัด เท้า เข่า ศอก เป็นอาวุธมวยไทยกระทำถูกร่างกายคู่แข่งขันโดยถูกต้องตามกติกา มีแรงส่ง ถูกเป้าหมายและคู่แข่งขันไม่สามารถป้องกันได้
16.1 การได้คะแนน มีดังนี้
16.1.1 นักมวยที่ใช้อาวุธมวยไทย กระทำถูกคู่แข่งขันได้มากกว่าเป็นผู้ชนะในยกนั้นความหมาย
- นักมวยทั้งคู่ออกอาวุธ ใครกระทำเข้าเป้าหมายมากกว่า และคู่แข่งขันไม่สามารถป้องกันตัวได้ตามแบบแผนมวยไทย (ขนบธรรมเนียมที่กำหนดหรือที่เคยประพฤติปฏิบัติ สืบต่อกันมา เช่น ยกขาขึ้นบังป้องกันการเตะ ยกศอกป้องกันหมัด เป็นต้น)
- ขยัน ออกอาวุธเข้าเป้าหมายมากกว่า
16.1.2 นักมวยที่ใช้อาวุธมวยไทยกระทำถูกคู่แข่งขันได้หนักหน่วง รุนแรง ชัดเจนกว่า เป็นผู้ชนะในยกนั้น
16.1.3 นักมวยที่ใช้อาวุธมวยไทย กระทำถูกคู่แข่งขันจนเกิดการบอบช้ำมากกว่า เป็นผู้ชนะในยกนั้น
16.1.4 นักมวยที่เป็นฝ่ายรุกเข้ากระทำมากกว่าเป็นผู้ชนะในยกนั้น
16.1.5 นักมวยที่มีชั้นเชิงในการรุก รับ หลบหลีก ตอบโต้ ตามลักษณะ และศิลปะมวยไทยได้ดีกว่าเป็นผู้ชนะในยกนั้น
16.1.6 นักมวยที่ทำผิดกติกาน้อยกว่า เป็นผู้ชนะในยกนั้น
 
16.2 การชกที่ไม่ได้คะแนน มีดังนี้
16.2.1 นักมวยกระทำผิดกติกาข้อใดข้อหนึ่ง
16.2.2 กระทำถูกแขนขาของคู่แข่งขัน ในลักษณะการป้องกันตัว
16.2.3 กระทำถูกคู่แข่งขัน แต่เบา ไม่มีน้ำหนักส่งจากร่างกาย
16.2.4 เตะไปแล้วถูกคู่แข่งขันจับขาเหวี่ยงลงกับพื้นให้ถือว่า “เสมอกัน” ถ้าฝ่ายที่เตะ ถูกคู่แข่งขันจับขาได้แล้วแกล้งทิ้งตัวลงกับพื้นถือเป็นการทำผิดกติกา ในกรณีนี้ถือว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้คะแนน
16.2.5 การเหวี่ยงคู่แข่งขันให้ล้มลงโดยไม่ใช้อาวุธอื่นๆ
16.3 เกี่ยวกับการให้คะแนน มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้คะแนนดังนี้
16.3.1 ให้คะแนนเต็ม 10 คะแนน สำหรับผู้ชนะในยก และให้คู่แข่งขันลดลงไปตามส่วนคือ 9 - 8 - 7 และ 6 โดยไม่มีการให้คะแนนเป็นเศษส่วน
16.3.2 ในยกที่เสมอกันได้ฝ่ายละ 10 คะแนน (10:10)
16.3.3 ผู้ชนะในยกได้ 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 9 คะแนน (10:9)
16.3.4 ผู้ชนะอย่างมากในยก หมายถึงเป็นผู้ใช้อาวุธมวยไทยเข้ากระทำคู่แข่งขันได้ เข้าเป้าชัดเจน หนักหน่วง รุนแรง คู่แข่งขันแสดงอาการบอบช้ำ อ่อนแอ ไม่สามารถโต้ตอบ เมื่อโต้ตอบอาวุธไม่มีความหนักหน่วง รุนแรง ไม่เข้าเป้าหมาย ตลอดเวลา คู่แข่งขันไม่สามารถป้องกันตัวได้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาในยกที่ผ่านมาเห็นว่าชนะชัดเจนกว่ามาก ได้ 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 8 คะ แนน (10:8)
16.3.5 ผู้ชนะในยกและคู่แข่งขันถูกนับ 1 ครั้ง ได้ 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 8 คะแนน(10:8)
16.3.6 ผู้ชนะอย่างมากในยกและคู่แข่งขันถูกนับ 1 ครั้งได้ 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 7 คะแนน (10:7)
16.3.7 ผู้ชนะในยก และคู่แข่งขันถูกนับ 2 ครั้ง ได้ 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 7 คะแนน (10:7)
16.3.8 ผู้ชนะอย่างมากในยกและคู่แข่งขันถูกนับ 2 ครั้งได้ 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 6 คะแนน (10:6)
16.3.9 นักมวยที่ถูกตัดคะแนน ต้องไม่ได้คะแนนเต็มในยกนั้น ให้ผู้ชี้ขาด ตัดคะแนนได้ ครั้งละ 1 คะแนน
16.3.10 ผู้ชนะอย่างมากในยกแต่ถูกนับ ได้ 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 9 คะแนน (10:9)
16.3.11 ผู้ชนะอย่างมากในยก คู่แข่งขันแสดงความบอบช้ำให้เห็นชัดเจนมาก แต่กลับถูกนับได้ฝ่ายละ 10 คะแนน (10:10)
 
สนามมวยเวทีลุมพินี
 
17. ข้อปฏิบัติในกรณีนักมวยที่ไม่ชกกันของสนามมวยเวทีลุมพินี
17.1 เมื่อเริ่มทำการแข่งขันในยกที่ 1 นักมวยทั้งคู่ ไม่ชกกัน หลังจากที่นักมวยได้ดูชั้นเชิงและเวลาการแข่งขันผ่านไปแล้ว 2 นาที ให้ผู้ชี้ขาดหยุด เตือน ครั้งที่ 1
17.2 เมื่อเริ่มทำการแข่งขันในยกที่ 2 และเวลาในการแข่งขันผ่านไป 1.30 นาที นักมวยทั้งคู่ ไม่ชกกัน ให้ผู้ชี้ขาดหยุด เตือนครั้งที่ 2
17.3 เมื่อเริ่มทำการแข่งขันในยกที่ 3 และเวลาในการแข่งขันผ่านไป 1.30 นาที นักมวยทั้งคู่ไม่ชกกัน ให้ผู้ชี้ขาดหยุด เตือนครั้งที่ 3 และตัดคะแนนนักมวยทั้งคู่ หลังจากตัดคะแนนและเวลาผ่านไป 30 วินาที ให้ผู้ชี้ขาดยุติการแข่งขัน และประกาศให้ผู้ชมทราบ “มวยคู่นี้ไม่มีการแข่งขัน เนื่องจากนักมวยทั้ง 2 ฝ่ายไม่ชกกัน”
17.4 ในกรณีที่เป็นยกที่ 5 ซึ่งเป็นยกสุดท้าย นักมวยทั้งคู่ ไม่ชกกันเมื่อเริ่มทำการแข่งขัน หรือแข่งขันผ่านไปแล้วและยังมีเวลาเหลือมากกว่า 1 นาที ให้ผู้ชี้ขาดหยุดเตือนครั้งที่ 1 ภายใน 15- 20 วินาทีเมื่อเตือนแล้วนักมวยทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ยอมชกกัน ให้หยุดเตือน ครั้งที่ 2 ภายใน 15-20 วินาที หลังจากเตือนแล้วยังไม่ยอมชกกันอีก ให้เตือนครั้งที่ 3 พร้อมทั้งตัดคะแนนนักมวยทั้ง 2 ฝ่าย และประกาศให้ผู้ชมทราบว่า“มวยคู่นี้ไม่มีการแข่งขัน เนื่องจากนักมวยทั้ง 2 ฝ่ายไม่ชกกัน”
17.5 ในกรณีที่เป็นยกที่ 5 ซึ่งเป็นยกสุดท้าย ให้ยกเว้นตามข้อ 17.4 เมื่อนักมวยทั้งคู่ ไม่ชกกันอันเนื่องมาจากแข่งขันกันมา 4 ยก อย่างเต็มที่และเกิดการบอบช้ำอย่างชัดเจน และนักมวยที่มีคะแนนนำ แสดงความมีน้ำใจนักกีฬาไม่ทำคู่แข่งขัน อีกทั้งคู่แข่งขันแสดงสัญญาณหรือยอมรับแล้ว ในกรณีนี้ให้ผู้ชี้ขาดปล่อยให้นักมวยทั้งคู่แสดงความมีน้ำใจนักกีฬาหรือยุติการแข่งขันให้ผู้ที่มีคะแนนนำเป็นฝ่ายชนะ “เทคนิเคิลน๊อกเอาท์”
 
การกระทำที่ผิดกติกา
 
18. การกระทำที่ผิดกติกา นักมวยที่กระทำดังต่อไปนี้ ถือว่าผิดกติกา
18.1 กัด ทิ่มลูกนัยน์ตา ถ่มน้ำลายรดคู่แข่งขัน แลบลิ้นหลอก ใช้ศีรษะชนหรือโขก
18.2 ทุ่ม ดัดหลัง ล็อกแขนคู่แข่งขัน ใช้ท่ายูโด และมวยปล้ำ
18.3 ล้มทับหรือซ้ำเติมคู่แข่งขันที่ล้ม หรือกำลังลุกขึ้น
18.4 จับเชือกเพื่อชก หรือหาประโยชน์อย่างอื่น
18.5 ใช้กิริยาวาจาไม่เหมาะสมในการแข่งขัน
18.6 การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ชี้ขาด
18.7 ใช้เข่าตีกระจับของคู่แข่งขัน เช่น จับคอตีเข่าที่กระจับ แทงเข่าที่กระจับ หรือโยนเข่าที่กระจับ ให้ผู้ชี้ขาดปฏิบัติดังต่อไปนี้
18.7.1 นักมวยที่ถูกเข่าที่กระจับไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้ ตัดสินให้นักมวยที่เป็นฝ่ายตีเข่าที่กระจับแพ้โดยถูกปรับให้แพ้หรือไม่มีการตัดสิน
18.7.2 นักมวยที่ถูกเข่าที่กระจับให้พักได้ครั้งละไม่เกิน 5 นาที เมื่อครบเวลาพักแล้ว
ไม่ออกมาทำการแข่งขัน ให้รวบรวมคะแนนทุกยกที่ผ่านมาและตัดคะแนนผู้ทำผิดกติกา 1 คะแนน จึงรวมคะแนน
จึงประกาศผู้ชนะ
18.7.3 ถ้านักมวยที่ถูกเข่าที่กระจับสามารถแข่งขันต่อไปได้ ให้ผู้ชี้ขาดเตือนหรือตัด คะแนนนักมวยที่เป็นฝ่ายตีเข่ากระจับ
18.8 จับขาคู่แข่งขันแล้วดันไปข้างหน้าเกิน 2 ก้าวโดยไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ ให้ผู้ชี้ขาดสั่งหยุด และเตือน หากได้เตือนแล้ว 2 ครั้ง ให้ผู้ชี้ขาดสั่งตัดคะแนนผู้กระทำผิด
18.9 นักมวยที่เตะแล้วถูกฝ่ายตรงข้ามจับขาได้ แกล้งทิ้งตัวลงกับพื้นถือว่าเอาเปรียบคู่แข่งขัน ให้ผู้ชี้ขาดเตือน ถ้ากระทำผิดอีกและผู้ชี้ขาดได้เตือนแล้ว 2 ครั้ง ให้ผู้ชี้ขาดสั่งตัดคะแนนผู้กระทำผิด
18.10 เมื่อนักมวยทั้งสองฝ่ายตกจากเวที หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามหน่วงเหนี่ยว
18.11 ใช้สารต้องห้ามตามที่คณะกรรมการฝ่ายแพทย์ของคณะกรรมการกีฬามวยกำหนดไว้
18.12 การละเมิดกติกาข้อใดข้อหนึ่ง
 
การล้มมวยไทย
 
19. การ “ล้ม”
19.1 การ “ล้ม” หมายถึง ถูก หมัด เท้า เข่า ศอกของคู่แข่งขันทำให้
19.1.1 ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายนอกจากเท้าถูกพื้นเวที
19.1.2 ยืน พับ พิง หรือนั่งอยู่บนเชือก
19.1.3 ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือทั้งตัวออกไปนอกสังเวียน
19.1.4 ถูกกระทำอย่างหนัก แต่ยังไม่ “ล้ม” และอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้
19.2 ข้อปฏิบัติเมื่อมีการ “ล้ม”
 
19.2.1 กรณีที่มีนักมวย “ล้ม” ต้องให้เวลาผ่านไป 1 วินาที ผู้ชี้ขาดจึงเริ่มนับโดยต้องนับดัง ๆ จาก 1 ถึง 10 เว้นระยะ 1 วินาที และต้องแสดงสัญญาณมือในการนับ เพื่อให้นักมวยที่ล้มทราบการนับพร้อมกับสั่งให้คู่แข่งขันเข้ามุมกลางที่ไกลที่สุดทันที ถ้าคู่แข่งขันไม่ยอมทำตามคำสั่ง ผู้ชี้ขาดต้องหยุดนับจนกว่าผู้นั้นจะปฏิบัติตามแล้วจึงนับต่อไป จากที่ได้นับแล้วเมื่อผู้ “ล้ม” ลุกขึ้นและพร้อมจะแข่งขันผู้ชี้ขาดจึงสั่งให้ชกต่อไปได้
19.2.2 กรณีที่นักมวยผู้ “ล้ม” ลุกขึ้นได้ก่อนผู้ชี้ขาดนับถึง “สิบ” และพร้อมที่จะแข่งขันต่อไป แต่ถ้ายังนับไม่ถึง “แปด” ผู้ชี้ขาดจะต้องนับต่อไปจนถึง “แปด” ก่อนดำเนินการแข่งขันต่อไป
19.2.3 ถ้านักมวยผู้ “ล้ม” พร้อมที่จะแข่งขันต่อไปได้ก่อนนับถึง “สิบ” แต่กลับล้มลงไปโดยมิได้ถูกกระทำอีกให้ผู้ชี้ขาดนับต่อไปจากที่นับมาแล้ว
19.2.4 กรณีผู้ชี้ขาดได้นับถึง “สิบ” แล้วให้ถือว่าการแข่งขันได้สิ้นสุดลง และตัดสินให้ผู้ที่ล้มนั้น “แพ้น็อกเอาท์”
19.2.5 กรณีที่นักมวย “ล้ม” พร้อมกันทั้งสองคน ให้ผู้ชี้ขาดนับต่อไปตลอดเวลาคนใดคนหนึ่งล้มอยู่ ถ้านักมวยทั้งสองคนล้มอยู่จนกระทั่งนับ “สิบ” ให้ตัดสินเสมอกัน
19.2.6 กรณีนักมวย “ล้ม”พร้อมกันทั้งสองคน บังเอิญส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเกี่ยวกันหรือทับกัน โดยที่มีนักมวยกำลังลุกขึ้นให้ผู้ชี้ขาดหยุดนับ และแยกนักมวยทั้งสองออกจากกัน แล้วจึงนับต่อไปหากยังมีนักมวย “ล้ม” อยู่
19.2.7 กรณีที่นักมวยผู้ใดไม่พร้อมแข่งขันต่อไปได้ทันที ภายหลังที่เวลาหยุดพักระหว่างยกหมดไปแล้วผู้ชี้ขาดต้องนับ เว้นแต่เครื่องแต่งกายไม่เรียบร้อย หรือพื้นเวที สังเวียนไม่พร้อมสำหรับการแข่งขัน
 
แพทย์สนามนักมวย
 
20. แพทย์สนาม ต้องอยู่ประจำตลอดการแข่งขัน ณ ที่ที่จัดไว้จนกว่าการแข่งขันคู่สุดท้ายสิ้นสุดลง และมีหน้าที่ดังนี้
20.1 ตรวจร่างกายนักมวยก่อนการชั่งน้ำหนัก เพื่อพิสูจน์ว่านักมวยมีความแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคหรือการเจ็บป่วยที่เป็นข้อห้ามตามที่ระบุในประกาศคู่มือแพทย์ของคณะกรรมการกีฬามวย
20.2 ให้คำแนะนำผู้ชี้ขาด เมื่อได้รับการร้องขอ
20.3 ให้การช่วยเหลือนักมวยที่หมดสติจากการแข่งขัน ให้แพทย์เท่านั้นเข้าไปในสังเวียน ผู้อื่นอาจเข้าไปในสังเวียนได้ ถ้าแพทย์ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
20.4 ให้การช่วยเหลือทางการแพทย์แก่นักมวยที่ถูก น็อกเอาท์ หรือ เทคนิเคิลน็อกเอาท์ โดยการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และให้การรักษาพยาบาลทันที
20.5 ตรวจร่างกายและวินิจฉัยนักมวยหลังการแข่งขันเพื่อแจ้งระยะเวลาพักฟื้นก่อนการแข่งขันครั้งต่อไปตามข้อกำหนดดังนี้
20.5.1 ภายหลังการแข่งขันครบ 5 ยก นักมวยต้องหยุดพักร่างกายก่อนการแข่งขัน ครั้งต่อไปไม่น้อยกว่า 21 วัน
20.5.2 นักมวยผู้ชนะภายใน 1 ยก ต้องหยุดพักร่างกายไม่น้อยกว่า 7 วัน
20.5.3 นักมวยผู้ชนะภายใน 3 ยก ต้องหยุดพักร่างกายไม่น้อยกว่า 14 วัน
20.5.4 นักมวยที่แพ้น็อกเอาท์หรือเทคนิเคิลน็อกเอาท์ ต้องหยุดพักร่างกายไม่น้อยกว่า30 วัน กรณีนักมวยที่แพ้น็อกเอาท์หรือเทคนิเคิลน็อกเอาท์ โดยถูกกระทำที่ศีรษะ 2 ครั้งติดต่อกัน ต้องหยุดพักร่างกายไม่น้อยกว่า 9o วัน และต้องได้รับการรับรองจากแพทย์จึงจะทำการแข่งขันได้
20.5.5 ภายหลังจากการพักฟื้น นักมวยต้องได้รับการรับรองจากแพทย์จึงทำการแข่งขันได้
 
สารต้องห้ามนักมวย
 
21. ยา หรือสารต้องห้าม
21.1 การจัดให้นักมวยใช้ยา หรือสารเคมีใดๆ ที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นอาหารที่รับประทานตามปกติของนักมวย ถือเป็นการกระทำที่ต้องห้าม
21.2 สารต้องห้ามต่างๆ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการฝ่ายแพทย์ของคณะกรรมการกีฬามวยประกาศกำหนด
21.3 นักมวยที่ใช้สารต้องห้าม หรือผู้ที่นำสารต้องห้ามให้นักมวยเสพหรือใช้ ต้องถูกพิจารณาโทษตามกฎหมาย
21.4 นักมวยหรือเจ้าหน้าที่ ที่ฝ่าฝืนข้อห้ามการใช้สารต้องห้าม ต้องถูกลงโทษไม่ให้แข่งขัน หรือห้ามเข้าร่วมการแข่งขัน
21.5 นักมวยที่ไม่เข้ารับการตรวจทางการแพทย์ ภายหลังการแข่งขันสิ้นสุดลงซึ่งเป็นการกระทำผิดกติกานี้ นักมวยผู้นั้นจะถูกห้ามแข่งขันต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่ที่สนับสนุนให้นักมวยกระทำผิดดังกล่าวจะถูกลงโทษห้ามเข้าร่วมการแข่งขันเช่นเดียวกัน
 
กติกาการแข่งขันของมวยไทย
 
22. การตีความ ในกรณีที่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในการแข่งขันหรืออันเนื่องมาจากการแข่งขัน ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้ในกติกานี้ ให้ผู้ชี้ขาดหรือประธานผู้ตัดสินเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด และแจ้งให้นายสนามมวยทราบ

ศิลปะ วัฒนธรรม และแหล่งมรดก หมวดหมู่: ศิลปะ วัฒนธรรม และแหล่งมรดก

ศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กลุ่ม: ศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี

ปรับปรุงล่าสุด : 6 เดือนที่แล้ว

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

ศิลปะ วัฒนธรรม และแหล่งมรดก ศิลปะ วัฒนธรรม และแหล่งมรดก

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และอนุสาวรีย์ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และอนุสาวรีย์(8)

แลนด์มาร์ก และอนุสรณ์สถาน แลนด์มาร์ก และอนุสรณ์สถาน(6)

พระราชวัง พระราชวัง(4)

ศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี(7)

พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์(9)

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวิชาการ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวิชาการ

พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา(1)

ไร่ สวนเพื่อการศึกษา ไร่ สวนเพื่อการศึกษา(2)

ศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์ฝึกอบรม(1)

มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์

วัด วัด(133)

โบสถ์ โบสถ์(2)

มัสยิด มัสยิด(2)

สถานที่เกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ สถานที่เกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ(14)

โครงการในพระราชดำริ โครงการในพระราชดำริ

โครงการหลวง โครงการหลวง(3)

วิถีชีวิต วิถีชีวิต

หมู่บ้าน ชุมชน หมู่บ้าน ชุมชน(10)

ตลาดท้องถิ่น ตลาดท้องถิ่น(5)

ตลาดน้ำ ตลาดน้ำ(3)

ธรรมชาติ และสัตว์ป่า ธรรมชาติ และสัตว์ป่า

เขื่อน พื้นที่อนุรักษ์ ทะเลสาบ เขื่อน พื้นที่อนุรักษ์ ทะเลสาบ(1)

แม่น้ำลำคลอง แม่น้ำลำคลอง(3)

หมู่เกาะ หมู่เกาะ(2)

บันเทิง และท่องเที่ยวเชิงเกษตร บันเทิง และท่องเที่ยวเชิงเกษตร

แคมป์สัตว์ และการแสดงสัตว์ แคมป์สัตว์ และการแสดงสัตว์(2)

ฟาร์ม, ไร่, สวน, สวนสาธารณะ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ฟาร์ม, ไร่, สวน, สวนสาธารณะ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ(3)